วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ประสบการณ์ที่ใครไม่ลองไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร


ทุกคนคงเคยดูหนังหรือละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตในมหาลัย โดยสิ่งที่เรามักจะเจอคือเรื่องราวชีวิตในรั้วมหาลัยของหนุ่มสาวและกลุ่มเพื่อน โดยหนังละครเหล่านี้ทำให้คนที่ไม่เคยได้เข้ามาสัมผัสชีวิตในรั้วมหาลัยต่างมีความอยากที่จะมาใช้ชีวิตแบบในหนังหรือละครดูบ้าง ส่วนผมเองนั้นตอนสมัยที่ยังแบเบาะวัยกระเต๊าะ ตอนยังขาสี้นคอซอง ผมก้อไม่ต่างจากคนอื่นๆ คืออยากผ่านชีวิตการรับน้องเหมือนในละคร อยากทำกิจกรรมในรั้วมหาลัย โดยมีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมดูแล้วอยากทำมากคือ การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ตอนนั้นรู้สึกนะว่าถ้ามีโอกาสได้เข้ามหาลัยจะสมัครเข้าชมรมค่ายอาสาของมหาลัย และแล้วเมื่อถึงตอนที่ผมได้เข้ามาเรียนในมหาลัย ผมก็ตามรอยละคร เหมือนตามรอยซีรีย์เกาหลี 555 สมัครเป็นสมาชิกค่ายวิศวะอาสา เป็นค่ายของภาควิชาผมเอง ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ประสบการณ์ที่ผมดูในละครมันได้เป็นความจริงแล้ว ในตอนที่ผมอยู่ปี 1 ผมได้มีโอกาสออกเดินทางไปออกค่ายชุดแรกร่วมกับพี่ๆ ในชุดแรกที่ไปก่อนเพื่อไปเตรียมงานก่อนการเดินทางมาของชาวค่ายชุดใหญ่ หน้าที่หลักผมคือวิศวกรรมกรแบกหาม เรียกว่ากล้ามขึ้นเลยทีเดียว สิ่งที่ทุกๆปีที่รุ่นพี่ทำไว้คือการสร้างอาคารเรียน ในปีแรกนี้ผมได้ประสบการณ์ที่เรียกว่าไม่เหมือนกับในละครครับ คือว่ามันมีอาการแบบลอยๆกับความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่เราได้ทำสิ่งที่เรียกว่าบุญหรืออะไรไม่รู้เรียกไม่ถูกให้กับเด็กผู้ไร้โอกาสในชนบท ต้องบอกว่าตอนนั้นผมมีความภาคภูมิใจในค่ายวิศวะอาสาของภาควิชาของผมมาก มันเกิดความรักและความอยากที่จะทำเพื่อคนที่หลายๆคนไม่เคยรู้ว่าพวกเค้าลำบากแค่ไหนให้กับผู้ไร้โอกาสในชนบท  ค่ายวิศวะอาสานี้เป็นเหมือนมรดกตกทอดจากรุ่นต่อรุ่นให้แกนนำคือนักศึกษาปีที่ 3 เป็นแกนนำในการทำกิจกรรม และแล้วการเวลาผ่านไป รุ่นผมก็ได้มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นพี่ปี 3 นั้นหมายความว่าพวกผมต้องรับผิดชอบค่ายครั้งนี้ โดยในช่วงแรกหน้าที่หลักคือการจัดหาเงินทุนจากผู้ทีจิตศรัทธาทั้งหลาย โดยในปีนั้นพวกผมประชุมกันว่าจะตั้งงบประมาณ 3-4 แสนบาทในการออกค่าย โดยแบ่งเป็นค่าก่อสร้าง ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ที่นำไปแจกเด็ก ๆ และค่าใช้จ่ายต่างๆตลอดการออกค่าย ในตอนนั้นพวกเราโชคดีที่ได้งบประมาณเหลือจากปีที่แล้วประมาณ 1 แสนบวกกับเงินที่ได้จากโครงการกระดานดำ ของกระทิงแดง มอบให้มาอีก 1 แสน แสดงว่าพวกผมต้องทำการหางบจากแหล่งอื่นๆ เข้ามาเพื่อทำให้งบนั้นได้ตามเป้า พวกผมรู้สึกว่าเครียดมากในช่วงนั้นว่้าจะหาเงินจากไหนมาทำให้ได้ตามเป้าเพื่อให้ค่ายวิศวะอาสาออกค่ายได้ตามเวลาที่วางไว้ และแล้วพวกผมก็ได้ออกค่ายในปีนั้น โดยในปีนั้นเปิดกว้างให้คณะอื่นๆ นอกจากวิศวะเข้าร่วมโดยมีสาวๆอักษร มาร่วมด้วย ทำให้ค่ายมีัสีสันในปีนั้น โดยสถานที่ที่เลือกในรุ่นผมคือ โรงเรียนบ้านคกเว้า จ.เลย เป็นโรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่ข้างริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดีครับ โดยพวกผมมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบออกเป็น 3 ฝ่ายคือ ก่อสร้าง แม่ครัว และสัมพันธ์ชาวบ้าน ส่วนผมเหมือนเดิมอยู่ฝ่ายใช้แรงงานก่อสร้าง ในปีนั้นผมกับเพื่อนๆน้องๆ ร่วมแรงร่วมใจกับแบบว่าทำงา่นกันบางวันเสร็จเกือบเที่ยงคืนก้อมี ทุกคนต่างทำงานกันแบบไม่กินแรงในการทำงาน และแล้วงานก้ออกมาเสร็จครับ แต่มีบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ คือเรื่องในรายละเอียดของเรื่องสี เราตกลงว่าจะมีทีมงานที่อยู่เก็บจนเสร็จ เป็นรุ่นน้องและท่านประธานเต่า อยู่เก็บงานจนเสร็จ งานในปีนั้นผ่านไปได้ด้วยดีต้องขอบคุณความร่วมมือของทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกดีใจที่ความใฝ่ฝันในตอนเป็นเด็กมัธยมเป็นจริงคือได้มาตามรอยละครชีวิตของนักศึกษาในรั้วมหาลัยบางตอนที่ผมชื่นชอบคือการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทตามที่ตั้งใจไว้ ต้องบอกความอยากกับการสัมผัสบรรยากาศจริงของการออกค่ายอาสามันไม่เหมือนกันคุณต้องลองทำมันดู คุณจะรู้ว่าการช่วยเหลือเด็กไร้โอกาสโดยการสร้างหรือบริจาคเงินให้กับพวกเขานั้น เป็นความรู้สึกที่อยากที่จะอธิบายได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น