วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Ars longa, vita brevis ศิลปะยาวชีวิตสั้น……..





^_^ สำหรับผู้คนที่จบจากรั้วมหาลัยศิลปากรคงจะจดจำถึงคำขวัญประจำมหาวิทยาลัยที่เป็นภาษอิตาลีว่า Ars longa, vita brevis ศิลปะยาวชีวิตสั้น……..ซึ่งความหมายของมันไม่ได้หมายถึงคนที่ทำงานด้านศิลปะเท่านั้นกับหมายรวมถึงคนทุกอาชีพ ทุกศาสตร์ ในโลกใบนี้ หากมองดูอายุเฉลี่ยของมนุษย์เราปัจจุบัน คงจะไม่น่าจะเกินร้อยปีเป็นแน่  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้สั้นลงตามอายุขัยของมนุษย์นั่นคือ “ผลงานที่ถูกสร้างสรรค์จากฝีมือและมันสมองของมนุษย์” ดั่งคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า “ศิลปะยาวชีวิตสั้น” มันมีความหมายที่ว่า การที่เราได้ลงมือทำผลงานอะไรด้วยพลังสร้างสรรค์ที่เป็นผลงานที่มีคุณค่า  ผลงานนั้นมันอยู่กับโลกใบนี้ไปอีกนาน แม้ว่าวันหนึ่งเราตายไปแต่เชื่อว่าผลงานอันทรงคุณค่าของเรายังจะอยู่ไปอีกนาน ดังนั้นเราจะรอช้ากันทำไมจงดึงพลังความสามารถของคุณออกมาสร้างสรรค์ผลงานที่ทรงคุณค่าให้โลกได้รู้ว่าเราคือ…….

พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว

ตัวคนเขียนเองจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร หลายคนคงคิดว่าตัวผมเองต้องจบด้านศิลปะมาเป็นแน่ แต่จริงๆแล้วผมไม่ได้จบศิลปะแต่จบคณะอื่นที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับศิลปะ จากรูปที่เห็นจะเป็นรูปของอาจารย์ ศิลพีระศรี  ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยสิ่งที่ทำให้ผมจำท่านแม่นมากคือคำพูดว่า “พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว”  เป็นคำพูดที่ฮิตติดปาก ชาวศิลปากรมากตอนที่ผมเรียนอยู่ที่นั้น คำพูดนี้มีความหมายอยู่ในตัวมันเองคือ ถ้าคิดจะทำอะไรก็ให้ลงมือทำซะอย่าปล่อยให้มันผ่านไปแล้วเรามานั่งเสียดายกันภายหลัง เมื่อมองย้อนกลับมาดูตัวเราเองว่าเราเคยรู้สึกอย่างคำพูดนี้ไหม ตอบได้เลยว่ามีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเองขาดหายไปในตอนเรียนมหาลัยและผมรู้สึกว่ามันสายไปแล้วคือ การใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ แบบว่าที่ถึงไหนถึงกัน เฮไหนเฮนั้น ทำอะไรร่วมกันใช้ชีวิตนักศึกษาให้เต็มที่ เหตุผลนะเหรอ คงไม่สามารถระบุได้ในที่นี้ แต่อยากบอกว่าตัวผมเองสูญเสียช่วงเวลาดีๆในชีวิตไปช่วงหนึ่งจริงๆ ในชีวิตปัจจุบันนี้หลังจากมาได้เจอกับจุดหักเหในชีวิตครั้งใหญ่ มันทำให้ผมคิดได้ว่า ผมต้องใช้ช่วงชีวิตที่เหลือแบบคุ้มค่า และต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ และจะไม่ให้คำว่าพรุ่งนี้ก็สายเสียแล้วมันย้อนกลับมาทำลายความรู้สึกผมอีกแน่นอน งานเขียนแรกอาจจะดูอารมณ์อึมครึมนิดนึงแต่จะพยายามเล่าเรื่องราวสนุกๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เพื่อนได้ฟังบ้างน

แสงอาทิตย์สีทองรูปหัวใจกับคนรู้ใจริมทะเล

เมื่อครั้งหนึ่งประมาณปลายปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเดินทางลงไปทางทิศใต้ของแผนที่ประเทศไทย โดยการเดินทางนี้ผมเดินทางไปกับคนที่ผมเรียกว่าแฟนครับ แต่ผมมักจะใช้คำว่าคนรู้ใจมากกว่า ฟังแล้วดูจะมีความหมายเวลาได้หยุดคิดมากกว่าคำว่าแฟน การเดินทางครั้งนี้ผมเริ่มต้นที่หัวลำโพง สุดปลายทางที่หาดบ้านกรูด จังหวัดประจวบขีรีคันธ์  ดูจากจุดเริ่มต้นแล้วทุกคนคงเดาได้ว่าผมเดินทางด้วยรถไฟเป็นการเดินทางที่ผมมองดูสองข้างทางระหว่างการเดินทางได้อารมณ์ ที่เรียกว่าอิ่มบรรยากาศประเทศไทยมาก การไปเที่ยวครั้งนี้เป็นการ เดินทางลำพังสองคนของผมกับคนรู้ใจครับ พอเดินทางมาถึงที่หาดต้องบอกว่าเงียบสงบมาก คนไม่เยอะเหมือนหาดอื่นๆ บรรยากาศดีครับ ผมสูดอากาศที่นี่เข้าไปเต็มปอดเลย แบบว่าเป็นการพักผ่อนที่คุ้มค่ามาก เพราะผมได้วางแผนล่วงหน้า เคลียร์งานให้เสร็จก่อนเดินทางครั้งนี้ รวมแล้วเตรียมการประมาณ 2 เดือนได้ ผมมาที่นี้ผมมาพักสมองจริงๆ แบบว่าที่หาดเงียบสงบมากเลยทีเดียว ในตอนเช้าผมก็ตื่นมาพร้อมกันประมาณ 6 โมงเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น ถ้ามากับเพื่อนๆนะ ตอนนี้คงนอน Hang over อยู่ที่บ้านพักแล้ว นับว่าเป็นโอกาศดีที่จะได้นั่งดูหาดสวยๆตอนเช้า พร้อมกับแสงอาทิตย์สีทองครับ งานนี้ผมไม่ลืมแน่นอนคือกล้องถ่ายรูปคู่ใจ หยิบมาถ่ายรูปนี้โดยบอกตรงๆ เป็นภาพที่ผมใช้วิธีการเลียนแบบในตำราหรือหนังสือตากล้องทั่วไปที่เค้าใช้กัน ถ่ายออกมาตามแบบที่อ่านมาเป๊ะ ถ่ายออกมาก็สวยดีนะครับ รูปนี้เน้นองค์ประกอบของแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังเราครับ ไม่เน้นความชัดแต่เน้นเรื่องแสง รูปนี้นางแบบก็คนรู้ใจผมเองเป็นคนโพสต์แบบไม่เห็นหน้า เห็นแต่เงารูปหัวใจที่ส่องผ่านมา รูปนี้ส่วนตัวผมชอบนะ เพราะมันสวยดี เพื่อนๆที่ได้อ่านบทความนี้ลองนำไปถ่ายดุครับจะได้ภาพแบบที่เราไม่ต้องปรับค่าอะไรมากมายเลย ถ่ายแบบย้อนแสงให้แบบเห็นเป็นเงาดำนี้แหละสวยดี...........ลองไปทะเลกับใครสักคนถือกล้องไปด้วย ตื่นเช้านิดนึง(แบบว่าไม่ต้องแฮงมาก) คุณจะเห็นแสงอาทิตย์สีทอง สะท้อนลงมาที่ท้องทะเล อารมณ์นั้นคุณคงคงจะอยากหยิบกล้องมาบันทึกความทรงจำเก็บไว้เป็นแน่ ไม่เชื่อลองดู

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งที่งานประจำปีพระปฐมเจดีย์และพระสมุทรเจดีย์.......

ผมเองเป็นนิสิตในรั้วสีเขียวเวอริเดียน มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ดังนั้นงานที่ชาวศิลปากรไม่พลาดเลยคืองานประจำปีของจังหวัดนครปฐมนั้นเอง นับว่าเป็นงานประจำปีที่ใหญ่มากงานหนึ่งในประเทศไทย ผู้คนมาจากไหนกันก็ไม่รู้ เต็มไปหมดครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจมากคือ เอ๊ะ! ทำไมงานวัดที่นี่ไม่มีปาโป่งอ่ะ สงสัยจึงถามกูรูได้คำตอบว่าในงานนี้จัดในบริเวณวัดที่เป็นอารามขององค์พระปฐมเจดีย์ การปาโป่งซึ่งจัดว่าเป็นการพนันอีกรูปแบบหนึ่งจึงไม่อนุญาตให้มีกิจกรรมนี้ I'm get.... แต่ไม่เป็นไรเพราะจุดสุดยอดของงานนี้คือร้านต่างๆที่มาจากแทบทุกมุมของไทย มาเปิดร้านขายที่นี้แบบว่า ของกินของใช้สาระพัด ถูกยกมารวมที่นี่ ผมอยู่ที่ที่ 4 ปี เดินในงานทั้ง 4 ปีครับ ว้า....จบมหาลัยซะล่ะ โอกาสที่จะมางานนี้ก็ยากขึ้นหละ่  แต่เป็นความบังเอิญแบบว่าลงตัวเป๊ะ ผมได้งานที่สมุทรปราการ 555 ที่นี่มีองค์เจดีย์ที่เรารู้จักดีคือ พระสมุทรเจดีย์ นั้นแหละครับผมถือว่าโชคดีมาก ได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศงานประจำปีที่ว่ากันว่ามีชื่อเสียงระดับประทศทั้ง 2 ที่ ม๊ะ ผมจะเล่าบรรกาศที่พระสมุทรเจดีย์ให้ฟังคือว่าโดยรวมแล้วงานจะไม่ได้แตกต่า่งกันเท่าไหร แต่ที่แปลกคือรอบๆงานนี้มีการละเล่นกิจกรรมที่ทางพระปฐมไม่มีนั้นคือ ปาโป่ง รถบั๊ม เกมทั้งหลายปรากฏว่าที่โน้นไม่มี มาโผล่นี้หมด อันนี้มันก็แล้วแต่คนจัดว่าจะจัดแบบไหนไม่ว่ากัน แต่ที่สุดของที่นี้คือว่างานนี้จัดสาองฝั่งแม่น้ำคือ ฝั่งพระสมุทรเจดีย์ และฝั่งปากน้ำ ด้วยความที่สองฝั่งนี้มีแม่น้ำคั่นดังนั้นการเดินทางต้องเดินทางด้วยเรือ เป็นแบบที่ผมชอบครับเวลานั่งอยู่บนเรือมองย้อนกลับมาที่พระสมุทรเจดีย์แบบว่าสวยม๊ากกๆ ใครที่ไม่เคยเที่ยวงานนี้ต้องลองมาดูครับ   ถ้าจะพูดถึงความเหมือนที่สองงานนี้มีก็คือการที่ผู้คนชาวพุทธอย่างเราๆ นี้ได้มีโอกาสมาสักการะเจดีย์ที่ว่ากันว่ามีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ทั้งสองที่  สิ่งที่เห็นคือการที่คู่หนุ่มสาว พ่อแม่ครอบครัว ได้จูงมือกันมากราบไหว้ทำบุญในงานนี้ครับ งานประจำปีสองที่นี้เรียกว่าเป็นความบังเอิญในเรื่องสถานที่ของที่เรียนกับที่ทำงานที่บังเอิญได้มาอยู่ในจังหวัดที่มีงานประจำปีที่จัดงานยิ่งใหญ่ทั้งสองงานเช่นนี้ ขอบคุณความบังเอิญ.
             

LOVE ME LOVE MY DOG

ทุกคนคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้างคือ LOVE ME LOVE MY DOG ความหมายที่ผมแปลตามความรู้ที่มี ณ ตอนนี้ ก็น่าจะแปลว่า ถ้าคุณรักฉันคุณต้องรักน้องหมาของฉันด้วยนะ ความหมายที่จริง ๆ มันอาจจะมากกว่าที่ผมเข้าใจก็ได้นะ  แต่เป็นอันว่าในเรื่องความหมายเป็นอันที่เข้าใจเหมือนที่ผมว่าก็แล้วกัน ผมถือว่าเป็นคนนึงที่หลงเสน่ห์ความน่ารักขี้เล่นของเจ้าตูบทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เข้าแบบจังๆ เรียกว่าเป็นสาวกคนรักน้องหมาเหมือนหัวข้อเรื่องเลยทีเดียว จากรูปที่ทุกคนเห็นทุกคนเข้าใจไม่ผิดครับมันคือเจ้าตูบแสนรักของผมเอง โดยเจ้าตูบในรูปผมได้ตั้งชื่อว่าน้องทีม ฟังดูน่ารักทีเดียว หลายคนคงสงสัยว่าผู้ชายอย่างผมทำไมถึงเลี้ยงน้องหมาแล้วรักแสนรักเจ้าตูบมากมาย บอกได้คำเดียวว่าตั้งแต่เด็กจนโตปัจจุบันอายุ 27 ปี มีความผูกพันกับน้องหมาตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านจะเลี้ยงน้องหมามาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก เรียกได้ว่ามีน้องหมาในบ้านบางตัวที่ผมได้เลี้ยงในวัยเด็กอายุมากกว่าผมอีกด้วย  จะให้ผมนับว่าผมและที่บ้านเลี้ยงน้องมากี่ตัวแล้วต้องบอกว่าน่าจะเกิน 10 ตัวได้ และสิ่งที่ทำให้ผมรักน้องหมามากๆ เพราะพ่อกับแม่แสดงออกถึงความรักกับน้องหมาให้ผมได้เห็นในวัยเด็กคือเรียกน้องหมาว่าลูกจนผมรู้สึกเค้าคือส่วนหนึ่งของบ้านจริงๆและที่สำคัญพ่อกับแม่ชอบเล่นและกอดมันด้วยความไม่รังเกียจแม้แต่น้อย สิ่งนี้เลยหล่อหลอมให้ผมรักน้องหมามาตั้งแต่เด็กเหมือนกับที่พ่อและแม่ท่านได้ทำเป็นตัวอย่าง จนผมได้มีโอกาสที่ได้เลี้ยงน้องหมาตัวในภาพครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าชื่อน้องทีม น้องทีมเป็นสุนัขพันธุ์ผสมเทอร์เรียร์ ได้มาจากการไปซื้อที่สวนจตุจักร ต้องบอกว่าในตอนแรกผมกลัวน้องทีมจะไม่รอดมากเพราะ มีพี่ๆหลายคนที่เคยเลี้ยงบอกว่าถ้าซื้อจากสวนมีโอกาสไม่รอดนะ แต่ในชั่วโมงนั้นที่ทำได้คือ มาถึงแล้วสิ่งที่ทำอันดับแรกในเลี้ยงคือ พาไปฉีดวัคซีนทุกอย่าง แบบที่น้องมาในวัย puppy ต้องฉีดทั้งหมดและแล้วน้องทีมก็รอดมาึถึงปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันเค้าไม่ได้อยู่กับผมแล้วไม่ต้องตกใจคือว่าผมไม่มีเวลาให้เค้าเท่าตอนที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย พอทำงานแล้วสิ่งหนึ่งที่ขาดไปให้กับน้องหมาคือเวลาที่จะให้น้องหมาน้อยลง จนผมต้องตัดสินใจพาน้องทีมไปให้แม่เลี้ยงที่ต่างจังหวัดที่บ้านพ่อแม่ครับ เป็นไปตามคาดครับว่าน้องทีมหน้าตาน่าีรักนิสัยขี้เล่นขนาดนี้พ่อกับแม่ซึ่งท่านเหงาเพราะลูกๆจริงอย่างผมกับพี่สาวไม่ได้อยู่กับท่าน พอท่านเห็นน้องทีมครั้งแรกคือท่านกอดเจ้าตูบนี้แน่นเลยครับ ต้องบอกว่าเราคิดไม่ผิดครับที่พาน้องทีมมาให้พ่อกับแม่เลี้ยงท่านรักน้องหมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าตูบตัวนี้ขี้เล่นขี้อ้อนอย่างน้องทีมแล้ว ปัจจุบันน้องทีมไปอยู่กับพ่อแม่ผมได้ 3 เดือนแล้ว ผมโทรไปหาท่านทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ทุกครั้งที่โทรแม่จะเล่าให้ผมฟังเรื่องน้องทีมตลอด ตอนนี้น้องทีมเป็นขวัญใจของคนที่บ้านผมและญาติๆไปแล้วครับ ผมก็รู้สึกดีใจนะที่ท่านรักน้องหมาที่ผมเอาไปให้ท่านเลี้ยงเหมือนที่ผมรัก ทุกวันนี้เดินทางไปไหนเห็นคนอื่นๆอุ้มน้องหมามาด้วยผมอดคิดถึงเจ้าตูบของผมไม่ได้ แต่บางครั้งอารมณ์ก็เศร้าครับเวลาเห็นน้องหมาที่ถูกทอดทิ้งตามข้่างถนน เห็นแล้วมันทำให้ผมคิดว่าคงไม่มีน้องหมาทุกตัวโชคดีมีเจ้าของที่ดี รักพวกมันมากๆเป็นแน่ ผมอยากบอกว่าการที่เราเลี้ยงน้องหมาแล้วต้องใส่ใจเหมือนเค้าคือส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ อย่าทอดทิ้งมันให้อยู่ลำพังตัวเดียวที่บ้านหรือที่ห้องแคบๆสี่เหลี่ยม เพราะน้องหมามีชีวิตจิตใจเหมือนเราเช่นกัน สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจจะเลี้ยงน้องหมาอยู่ คุณต้องถามตัวเองว่าคุณรักน้องหมาไหม คุณมีเวลาเพียงพอไหม และที่สำคัญคือคนสำคัญของคุณไม่ว่าจะเป็นคนรัก พ่อแม่ เค้า Love me love my dog ไหม ถ้าคุณคิดว่าตัวคุณมีองค์ประกอบ Love me love my dog พอ ผมสนับสนุนเต็มที่เลยครับ อย่าลืมน้องหมาทุกตัวคงอาจไม่โชคดีเหมือนน้องทีม ที่ตอนผมไม่มีเวลาให้เค้าแล้วผมมีสาวกคนรักน้องหมาอย่างพ่อกับแม่อยู่น้องทีมจึงโชคดี อย่าให้การตัดสินใจของคุณมันทำร้ายชีวิตที่บริสุทธ์อย่างน้องหมานะ อย่าเลี้ยงเพราะความเหงา จงเลี้ยงมันด้วยความรักครับ วันหลังผมจะมาเล่าถึงความน่ารักของเจ้าตูบของผมให้เพื่อนๆครับ

กล้อง 1 ตัว ตั๋ว 1 ใบ กับคนรู้ใจข้างสนามบอล

นับตั้งแต่ผมจบการศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร ผมมีโอกาสได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันหลายครั้ง ทำให้ผมมีโอกาสได้ซึมซับกับบรรยากาศระหว่างการเดินทางมากมาย ปกติแล้วเวลาผมเดินทางไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ผมมักจะติดกล้องคู่ใจไปกับตัวเองเสมอ คนส่วนใหญ่มักเดินทางแล้วพกกล้องเพื่อไปถ่ายรูปตัวเอง โพสท์ท่าทางกับสถานที่ไปเยี่ยมเยือน ซึ่งได้เห็นจนชินตา แต่สำหรับผมแล้วขอแค่ได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศระหว่างทางการเดินทางเป็นที่ระลึกก็เพียงพอแล้ว การเดินทางของผมนั้นจุดหมายปลายทางมีหลายรูปแบบทั้งแบบธรรมชาติ แบบสถานที่สวย ๆ ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะนำกล้องติดตัวไปเก็บบรรยากาศเสมอ  ถ้าจะพูดบรรยากาศผมประทับใจในการไปเที่ยวที่ต่างๆนั้น ต้องบอกว่าประทับใจทุกการเดินทางครับ แต่การเดินทางที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้นั้นคือ การเดินทางไปที่สนามฟุตบอลที่มีการแข่งขันฟุตบอลทั้งระดับชาติ และระดับการแข่งขันในประเทศ  ต้องขอบอกก่อนว่าคนเขียนเป็นผู้ที่มีความชื่นชอบการชมกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ แต่หาโอกาสมาดูที่สนามแข่งจริงนี้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะดูจากการถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอทีวี ในการเดินทางไปที่สนามกีฬานี้เช่นเคยคือต้องพกกล้องติดตัวไปเสมอ เมื่อมาถึงสนามสิ่งแรกที่ต้องทำคือเดินไปที่จุดจำหน่ายตั๋วของสนามพร้อมกับจัดไปตั๋วหนึ่งใบ ทำยังไงได้ก็มาคนเดียวคงต้องซื้อใบเดียวอยู่แล้ว  หลังจากนั้นผมก็ขอถ่ายรูปบรรยากาศข้างสนามและรอบๆตามเคย ภาพที่เห็นส่วนใหญ่คือภาพของคนรักต่างพากันมาดูฟุตบอลกันมากขึ้น เห็นแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และที่ทำให้ผมยิ้มไปกับภาพที่เห็นเลยคือภาพของพ่อแม่ลูกจูงมือมาซื้อตั๋วที่จุดจำหน่ายตั๋ว เห็นแล้วมันทำให้ผมนึกถึงภาพที่ได้เห็นในการถ่ายทอดสดฟุตบอลต่างประเทศ  ที่จะเห็นเด็กตัวเล็กๆมาดูฟุตบอลอยู่ข้างสนาม มาถึงตอนนี้คนอ่านคงสงสัยว่าหัวข้อบทความ กล้อง 1 ตัว ตั๋ว 1 ใบ กับคนรู้ใจข้างสนามบอล มันมีที่มาและเกี่ยวข้องกับประสบการณ์การเดินทางของผมอย่างไร ต้องขออธิบายว่าในตอนแรกๆ ที่ผมเริ่มเดินทางไปดูบอลที่สนามฟุตบอลนั้นผมเดินทางไปเพียงลำพังคนเดียว สิ่งที่พกติดตัวนำไปด้วยเสมอคือกล้องถ่ายรูปคู่ใจและมาถึงที่สนามได้สิ่งที่ต้องทำคือการเดินไปซื้อตั๋ว 1 ใบ  หลายคนที่อ่านคงมีัคำถามว่าแล้วคนรู้ใจข้างสนามบอลของผมไปไหน ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปจากนี้ คนรู้ใจข้างสนามบอลนี้ผมได้มาจากการที่เข้าไปนั่งชมเกมข้างสนามบอลสิ่งที่พบเห็นคือผู้คนมากมาย ต่างอายุต่างวัยชาย หญิงและเด็ก คนเหล่านี้ต่างมากับคนรู้ใจด้วยกันทั้งนั้น ทั้งแบบเพื่อนที่รู้ใจที่มากันเป็นกลุ่ม และแบบคู่รักที่มาเป็นคู่ หรือจะมากับครอบครัวที่รู้ใจ นี่แหละคือความหมายของคนรู้ใจข้างสนามบอลของผมคือการได้พบเจอผู้คนพาคนรู้ใจมาดูการแข่งขันฟุตบอลในสนาม มันทำให้ผมได้เห็นถึงมิตรภาพ ส่งผ่านจากรอยยิ้มของการพูดคุยกัน มันเป็นภาพที่น่าประทับใจครับ ยิ่งตอนเชียร์บอลขณะแข่ง ต้องขอเล่าว่าสุดยอดมากๆ ครับ คือกลุ่มแฟนบอลเหล่านี้ที่มาจากคนละที่คนละแห่ง  สามารถร้องเพลงเชียร์เพลงเดียวกันดังกระหึมสนาม แบบว่าผมอดขนลุกกับความสามัคคีและพลังของคนเหล่านี้ไม่ได้  เวลาผ่านไปสักพักผมก็สามารถร้องเพลงเชียร์ตามกลุ่มแฟนบอลได้ต้องบอกว่ามันได้อารมณ์ความสุข ความละมุนมากเลยครับ ขอยืมคำพูดของพี่คนหนึ่งมาเขียนนิดนึงครับ เวลาผ่านผมสังเกตุเห็นคือกลุ่มแฟนบอลเหล่านี้ มักจะพกกล้องติดตัวมากันด้วยเพื่อจะถ่ายภาพโพสท์ท่ากับแฟนบอลและสนามกันเป็นส่วนใหญ่ครับ ผมมองแล้วดูทุกคนมีความสุขที่ได้มาที่สนามบอลเหมือนๆกับผมนะ  ผมคิดว่าสนามบอลมันร้อนมากนะ แต่สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ยิ้มแย้มกันแบบลืมความร้อนไปปลิดทิ้งคือ พลังแห่งมิตรภาพที่ส่งผ่านออกมาทางใบหน้าและรอยยิ้มที่แสนจะจริงใจ สำหรับการที่จะเล่าความประทับใจในสนามบอลถ่ายทอดออกมาจนได้หมดนั้นคงจะทำได้ยาก แต่ตอนนี้มีสิ่งที่ผมบอกได้คือยังมีรอยยิ้มและมิตรภาพและความประทับใจที่น่าอัศจรรย์ใจรอคุณพิสูจน์ที่สนามฟุตบอลใกล้บ้านคุณ จงอย่าลืมพาเพื่อน พาคนรัก ครอบครัว และคนที่คุณคิดว่าเป็นคนที่รู้ใจคุณ มาที่สนามบอลสักครั้ง และผมเชื่อมั่นว่าคุณจะมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก