วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

อนาคตที่สดใสแปรผันตรงกับความสามารถทางภาษาอังกฤษ

             ต้องบอกก่อนว่าเป็นบทความแรกของปี 2013 โดยที่ผมเองก้อไม่ได้เขียนมานานมาก เพราะไม่ได้มีโอกาสเดินทางสร้างแรงบันดาลใจในการเขียนสักเท่าไหร่  หลังจากย้ายมาทำงานในองค์กรค์ที่ใช้ภาษาอังกฤษแถบทุกวัน มีประชุม ฟุตฟิตฟอไฟ กันตลอด
            ยอมรับว่าช่วงเวลาตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้ ผมมีพัฒนาการเรื่องภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นมาก แต่ถามว่ามันมากพอที่จะทำให้คุณได้ก้าวขึ้นตำแหน่งต่อไปไหม ตอบเลยว่ายังไม่พอครับ ทำไมถึงรู้ล่ะครับ ก้อตอบเลยว่า
            เมื่อตอน 2 เดือนที่ผ่านมาทางแผนกผมเปิดรับสมัคร Senior Industrial engineer ปรากฏว่าผมลองยื่นใบสมัครดูเพราะมองว่าเราน่าจะทำได้ แต่คำตอบคือ "  ภาษาอังกฤษของคุณด้อยไปนะ ถ้าต้องการจะขึ้นตำแหน่งนี้"    เท่านั้นล่ะครับทำให้ใจผมสลายพังลงไปเพราะสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือเรื่องภาษาอังกฤษ ถึงแม้ว่ามันจะพัฒนาขึ้นกว่าตอนที่ทำงานช่วงแรกๆมาก แต่ก้อนั้นล่ะครับความจริง ยังไงก้อคือความจริง หนี้ไม่พ้น ต้องยอมรับว่าภาษาอังกฤษผมนั้นมีพื้นฐานมาไม่ค่อยดีเท่าไหร ทำให้การที่จะต่อยอดมันก้อไม่ใช่ตอนที่มาทำงาน แต่มันกลับเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบพื้นฐาน ซึ่งมันควรจะต้องเตรียมความพร้อมก่อนการมาทำงานตั้งแต่อยู่ที่มหาวิทยาลัยต่างหาก
           ประสบการณ์ในการถูกปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ มันทำให้ผมมีแรงผลักดันที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น ต้องอย่าอยู่เฉยๆ ต้องทำแบบฝึกหัดคือการกล้าพูดกล้าสนทนามากขึ้นเพื่อให้ความสามารถเราเพิ่มมากขึ้น ให้มีโอกาสแบบนี้อย่าให้มันหลุดมือไปดังสมการด้านล่างครับ

กำหนดให้
F=โอกาสที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง
A=ความสามารถเฉพาะด้านที่เราทำ
B=ประสบการณ์
C=ความเป็นผู้นำ
D=ภาษาอังกฤษ
ดังนัน
F=(A+B+C)*D

นั้นแสดงว่าถ้าเราต้องพยามปรับปรุงเรื่องภาษาอังกฤษ แบบว่าสมการนี้ผมคิดเองนะไม่ได้มีนิยามอะไรเพียงอยากแสดงว่า ถ้าเรามีความสามารถด้านภาษาอังกฤษมากขึ้นเท่าไร มันจะเป็นตัวทวีคูณโอกาสดีๆมาให้คุณมากขึ้นเท่านั้น มาบทความนี้ผมออกแนววิชาการไปหน่อย ต่อก้อสนุกมือดีครับ

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แบรนด์ที่เรียกว่า LINK นาฬิกาแฟชั่นสายพันธุ์ไทย แจ็คผู้ที่จะมาฆ่ายักษ์นาฬิกาแฟชั่นจากเมืองนอกอย่างแท้จริง

              ต้องบอกก่อนว่าตัวผมเองทำงานที่บริษัทในเครือ Swatch ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านนาฬิกาแฟชั่นจากสวิส ผมเองนั้นในชีวิตที่ผ่านมามีนาฬิกาไม่กี่เรือน แต่เรือนที่ใช้มายาวยานถึงปัจจุบันก็คือ Seiko รุ่นที่ได้จากพ่อมาก็จะสิบปีแล้วมั่งถ้าจำไม่ผิด คิดถ้ามันไม่หยุดเดินผมก็คงใส่มันที่ข้อมือไว้ดูเวลาต่อไป แต่พอได้มีโอกาสย้ายไปอยู่ที่บริษัทในเครือ Swatch ก็คิดจะซื้อนาฬิกาใหม่ให้ตัวเองแต่พบว่าเราก็ไม่ใช่คนที่ชอบใส่นาฬิกาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ได้ซื้อทั้งๆที่ถ้าซื้อได้ส่วนลดสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็นั้นแหละครับตัวเองไม่ชอบใส่นาฬิกาจึงไม่ได้ซื้อใส่ใหม่

                  และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(6.02.2012) ผมได้มีโอกาสไปเดินที่สำเพ็งกับแฟนผมเพื่อจะไปดูของที่จะลงทุนขายของที่ต่างจังหวัดโดยตั้งใจจะไปดูตุ๊กตาหมีเป็นหลักแต่เดินที่ตึกหนึ่งที่ผมกับแฟนตั้งใจจะไปคือ สำเพ็งอเวนิว ปรากฎว่าเดินเข้าไปต้องหยุดดูสิ่งที่ผมทำงานอยู่กับชิ้นส่วนของมันมาตลอด 10 เดือนที่ผ่านมามันคือนาฬิกาที่สีสันสดใสแบบว่าสะดุดตาจนผมเองต้องหยุดดู มองไปคล้าย Swatch มีสีสันสดใสจึงเดินไปดูใกล้ๆพบว่ามามีตัวหนังสือที่เขียนว่า Link ก็เลยถามเจ้าของร้านว่ายี่ห้อไรเอ่ย เจ้าของร้านบอกว่า ''ก็ยี่ห้อ Link ไงตอนนี้วัยรุ่นกำลังฮิตกัน'' พอได้ยินแบบนั้นคิดว่าเราคงไม่รู้หรือว่าไม่ได้ตามข่าวเป็นแน่ รึว่าเจ้าของร้านโม้ว่ะ แต่ก้อไม่คิดอะไรมาก ได้แต่ดูนาฬิกา แต่ละเรือนมีสีสันสดใสโดยรูปแบบเน้นเรื่องของความสดใสและทันสมัยแบบเดียวกับ Swatch เลย คิดในใจว่าเลียนแบบชัวร์ แต่พอดูไปที่นาฬิกาอยู่โซนนึง เห็นแว็บๆ นี่เป็นลายไทยนิหว่า ดูเด่นมีสไตล์แบบสยามประเทศดี มีทั้งลายมวยไทย สถานที่สำคัญของประเทศไทย มีลายไทยที่ดูแล้วน่าภูมิใจครับ แต่พอเลื่อนตามาดูที่เรือนหนึ่งมีรูปธงชาติไทยที่ตัวหน้าปัดและตัวเลขเป็นเลขไทย และเขียนที่หน้าปัดอีกว่า "ประเทศไทย" มันช่างรู้สึกโดนใจมาตัวเรือนเป็นโลหะสายเป็นสายพลาสติกและทำเป็นแผนที่ประเทศไทยสวยงามโดนใจครับ แบบว่าปลุกใจความชาตินิยมอย่างผมได้อย่างมากมาย เลยคิดในใจว่าถ้าไม่เกินพันบาทเป็นของผมแน่ ผมเลยถามเจ้าของร้านว่าราคาเท่าไหร่ พอได้คำตอบถึงกับอึ้งครับราคาถูกกว่าที่คิดไว้ 450 บาทขาดตัว ทำให้ผมไม่รอช้าขอ ซื้อเรือนนี้ทันที และผมก็ได้เป็นเจ้าของนาฬิกาที่ผมซื้อให้ตัวเองในรอบสิบปีครับ ด้วยความบ้าเห่อ แกะกล่องและใส่ที่หน้าร้านทันที มันช่างลงตัวกับข้อมือข้างซ้ายผมเอามากๆ แบบว่าเรามีเวลาที่มีธงชาติไทยติดข้อมืไปทุกทีที่เราไป เรียกว่า 450 บาทมันคุ้มค้ามากที่ได้มา แพ็กเกจสวยดูดีและแถมรับประกัน 1 ปีอีกต่างหาก ผมได้อ่านข้อความระบุอยู่ด้านหลังกล่องของแพ็กเกจนาฬิกาเรือนนี้ โดยกล่าวถึงความเป็นมาของชาติไทยพอสังเขป และยังอธิบายภูมิประเทศ   และยังเขียนไว้ว่าชาติไทยเป็นชาติที่มีประชากรเป็นอันดับ 21 ของโลก เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเราอยู่ในอันดับนี้ เรียกว่าผู้จัดทำนาฬิการุ่นนี้มีความใส่ใจในรายละเอียดและเอาข้อมูลความรู้สอดแทรกมาไว้ที่แพ็กเกจอีกด้วย

                ส่วนตัวผมแล้วรู้สึกภาคภูมิใจที่คนไทยทำในสิ่งที่ไม่แพ้เจ้าตำรับด้านนาฬิกาอย่างสวิส รูปลักษณ์ของนาฬิกาออกมาดูดีมีสไตล์ หลังจากลับมาจากสำเพ็งผมได้มีโอกาสสังเกตดูด้านหลังของนาฬิกามีข้อความ Siam quartz by Miyota ด้วยความสงสัยจึงทำการค้นคว้าในอินเตอร์เน็ตพบว่า Miyota เป็นผู้ผลิตเครื่องในเครือเดียวกับ Citizen ให้ตายเถอะนี่นาฬิกาตัวนี้ไม่ธรรมดาซะแล้วนะน่าสนใจ จึงทำการหาข้อมูลต่อและได้ข้อมูลว่านาฬิกาแบรนด์นี้ มีการเปิดตัวครั้งแรกโดยคนไทยในปี 2547 โดยครั้งแรกเปิดตัวสิบแบบและพัฒนามาจนได้กว่า 70 แบบในปัจจุบันโดยเน้นเรื่องความเป็นแฟชั่นมากกว่าความเป็นนาฬิกาบอกเวลาและใช้คนออกแบบเป็นคนไทย เรียกว่าเป็นแบรนด์คนไทย แต่สิ่งทีผมรู้สึกว่านาฬิกาแบรนด์นี้มีคุณภาพเพราะเจ้าตัวเครื่องทำจาก Citizen watch manufacturer ซึ่งเป็นแบรนด์ของญี่ปุ่นเราก็มั่นใจในคุณภาพตัวเครื่องได้พอสมควร

                จากราคาและสีสันสดใสโดนใจวัยรุ่นและคนทั่วไป แถมยังมีรูปแบบที่เป็นแบบไทยสไตล์ให้เลือกอีก ผมเชื่อว่าเจ้านาฬิกาแบรนด์ที่ชื่อว่า Link หากได้รับการพัฒนาตลาดและพัฒนาคุณภาพ และยังราคาย่อมเยาว์อยู่ เชื่อเลยว่าน่าจะสามารถขอส่วนแบ่งในตลาดได้ไม่ยาก แต่ใครจะว่ายังไงไม่รู้แต่แบรนด์นี้ได้ใจผมไปเต็มแล้วๆครับ สู้ๆ คนไทยเราทำได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก

นี่เป็นโฉมหน้านาฬิกาเรือนใหม่เรือนแรกในรอบ 10 ปีครับ
นี่เป็นตัวอย่างนาฬิกาบางส่วนที่ทางเจ้าของแบรนด์นี้เรียกว่า Link collection
รูปภาพจาก: http://www.linkgraphix.co.th/callection/catalog_lj_show.php

นี่เป็นตัวอย่างนาฬิกาบางส่วนที่ทางเจ้าของแบรนด์นี้เรียกว่า Link Siam
รูปภาพจาก: http://www.linkgraphix.co.th/callection/catalog_lj_siam.php

posted from Bloggeroid

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

คงยังไม่สายไปนะ ที่เราจะทำสิ่งที่ดีให้กับชีวิตของเรา ด้วยการเลิกเหล้าเพื่อคนที่คุณรัก

ตัวผมเองมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หลังจากวันที่เราไม่มีสติจากน้ำที่มีส่วนผสมที่เราเรียกว่า"Alcohols" สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อาการที่เรียกว่าความทรงจำสีจางๆที่แบบว่าเมื่อคืนเราทำอะไรไปว่ะ ไม่เห็นจะจำได้เลย แล้วเรากลับมาที่ห้องตัวเองได้ไงฟ่ะ เงินในกระเป๋ายังอยู่ครบใช่ไหม บางครั้งรู้สึกว่า เราทำเรื่องที่ไม่ดีไว้หรือป่าว แบบว่าเราจะต้องมานั่งเครียดกับสิ่งที่ทำเสมอ เพราะผมเองค่อนข้างเป็นคนซีเรียสกับชีวิตพอสมควร ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราต้องมานั่งเครียดกับสิ่งที่เราทำลงไป หลังจากตอนกินเหล้า ต้องถอดหายใจตลอดเวลาหลังสร่างเมา มันเกิดขึ้นซ้ำโดยตลอด และสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมเครียดมากคือ ผมเคยมีบทเรียนจากการดื่มแบบขาดสติคือรถมอเตอร์ไซต์ล้ม จนต้องเสียฟันไป 3 ซี่ ชนิดว่าแม่ของผมเองต้องเสียใจแต่ท่านร้องไม่ออกด้วยความเสียใจมากที่ท่านก้อทำใจมาโดยตลอด แต่ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับผม ในตอนนั้นแม่เคยขอให้ผมเลิกเหล้า ผมรับปากและหยุดกินเหล้าไปได้แค่ประมาณ 3 เดือน ผมก้อกลับมากินอีกครั้ง และก้อกินหนักเกือบจะเท่าเดิม บทเรียนครั้งนั้นไม่ได้ทำให้ผมเจ็บแล้วจำเลย หลังจากนั้นผมเริ่มหาวิธีมาหยุดอาการเมาขาดสติ โดยใช้วิธีการตั้งสติก่อนกินทุกครั้ง ยอมรับว่ามันใช้ได้ผลมากครับ คือเราเริ่มเห็นว่าการดื่มอย่างมีสติมันดีอย่างนี้เอง ได้มีโอกาสมองดูคนอื่นเมา แล้วรู้สึกสมเพชตัวเองเวลาเมามากๆ จนผมใช้วิธีนี้มาตลอด จนมาวันนึงผมเริ่มรู้สึกว่าได้ใจกับสิ่งที่ตัวเองทำได้จนลืมไปบ้าง แต่นั้นแหละครับมันมีคำว่าลืมไปบ้างนี้แหละมันคือปัญหาที่ตามมา ที่ผมต้องบอกว่ามันทำให้ผมเริ่มคิดว่าเราคงใช้วิธีการนี้ไม่ได้แล้วหละ วิธีที่จะดีที่สุดในเรื่องนี้ หยุดมันซะ อย่าให้เรื่องไม่ดีมันเกิดขึ้นกับเราเพราะคำว่าเมานี้ ต้องหยุดดื่มมันซะ น่าจะดีที่สุด สำหรับเรื่องนี้ถามว่าผมเคยคิดที่จะทำมันมานานแล้วรึยัง ตอบได้เลยว่าน่าจะหลายสิบครั้ง แต่ไม่เคยทำสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียวต้องบอกว่าไม่เคยเอาชนะไอ้ขวดกลมๆนี้ได้เลย จนหลายต่อหลายครั้งที่ผมต้องเสียใจและบอกกับตัวเองเสมอว่าเราจะไม่ทำมันอีก แต่สุดท้ายก้อหลงเอยด้วยความพ่ายแพ้แบบหมดรูปต่อเหล้าขวดกลมๆเสมอ ผมรู้ดีว่าแม่นั้นอยากให้ผมเลิกกินเหล้ามาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วตอนที่ผมรถล้ม แต่ผมก้อยังไม่สามารถทำมันได้จนถึงทุกวันนี้ วันนี้คือวันที่สำคัญของผมวันนึงไม่แพ้วันเกิดของผม มันคือวันที่ผมจะเลิกกินเหล้าแบบตัดขาด เพื่อคนที่ผมรักคนนั้นคือแม่ ที่เค้าอยากให้ผมเลิกเหล้ามานานแล้ว ผมบอกเรื่องนี้กับแฟนผมเป็นแรก ณ ตอนที่ผมเขียนอยู่นี่ ผมนั่งน้ำตาคลออยู่ที่ สระว่ายน้ำที่ผมมาว่ายน้ำเป็นประจำ เหตุผลที่ร้องไห้เพราะผมรู้สึกดีใจมาก ที่ผมโทรไปหาแม่มาและบอกท่านว่า "วิทจะเลิกกินเหล้านะแม่" ผมคุยกับแม่สั้นมากเพราะผมเสียงสั่นจนผมไม่สามารถคุยต่อได้ จนผมต้องวางสาย และด้วยความดีใจที่ผมทำสิ่งที่แม่ผมรอมานาน นี่น่าจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับแม่ที่ผมได้เคยให้แม่มา วันนี้ผมขอชดเชยเวลาที่ผมได้เสียไปกับการใช้ชีวิตแบบขาดสติ วันนี้ 29 มกราคม 2555 เป็นวันที่ผมเลิกกินเหล้า ผมขอมอบเป็นของขวัญให้กับแม่ผมและคนที่ผมรักและคนที่รักผมทุกๆคน และจะให้ส่วนบุญกุศลนี้จะขอให้คนที่ผมรักทุกคน คงไม่มีคำไหนที่จะยิ่งใหญ่สำหรับวันนี้ มีเพียงคำที่ว่า "แม่ครับผมรักแม่ครับ " ในช่วงเวลาที่ท่านยังอยู่ ผมจะไม่ทำท่านต้องเสียใจอีกผมสัญญา


posted from Bloggeroid

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดูพระอาทิตย์ตกดินที่บางแสน ไม่แพ้ที่ใดในเมืองไทย

         

               หากจะพูดถึงบางแสนหลายคนอาจจะนึกถึงเพียงแค่หาดที่มีเปผ้าใบพร้อมกับอาหารทะเลที่มาเสิร์ฟถึงที่ ซึ่งถ้าจะถามผมก่อนหน้านี้ก็ต้องบอกว่า ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันไม่มีอะไรพิเศษสำหรับบางแสน
               แต่การเดินทางรอบนี้ต้องบอกว่าเปลี่ยนความคิดไปเลยครับเรื่องบางแสน เพราะเราได้ไปแล้วเจอรุ่นน้องที่เรียนอยู่ที่มหาลัยบูรพา น้องเค้าแนะนำว่า "พี่ๆรู้จัก walking street บางแสนป่าว" ด้วยความไม่รู้ก็คิดว่าน่าจะเป็นตลาดนัดทั่วไปที่ตั้งตอนกลางคืน จริงๆแล้วมันก็ไม่เหมือนซะทีเดียวหลังจากไปที่ได้ฟังจากน้องเค้าเล่า แต่เราก็สนใจนะ จึงบอกว่าเราจะไปเดินเล่นที่นั้น มันต้องมีของอร่อยๆเยอะแน่นอน
              ผมเดินหน้าจากจุดที่ผมนั่งกินข้าวอาหารทะเลแบบอิ่มหน่ำสำราญแล้ว โดยกะว่าจะเดินย่อยไปถ่ายรูปไป แบบชิลๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่เดินไปเดินมาเอ๊ะมันไม่ใช่ใกล้ๆนะเนี่ย ปรากฎว่ามันน่าจะ 2-3 กิโลเมตรได้กว่าจะถึง แต่พอไปถึงก็รู้สึกว่าตรงที่ผมเห็นนั้นเค้าเรัียกกันว่า Walking Street บางแสน ผมทำไมไม่เคยมาว่ะ ถามไปถามมาได้ความว่ามันคือจุดที่คนแถวนั้นเรียกว่า "แหลมแท่น" เป็นจุดที่คนแถวนั้นและนักท่องเที่ยวนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นั้น แต่นั้นแหละครับ ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน ว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับบางแสนแค่ปลายจมูกเอง
              พอไปถึงก็พบว่าบรรยากาศตรง Walking Street มันก็เป็นเหมือนคล้ายๆกับตลาดนัดทั่วไป แต่มีสิ่งที่ดึงดูดจริงๆคือจุดดูพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมแท่นนี่หละครับ ผมถ่ายรูปเล่นเก็บบรรยากาศบริเวณนั้นไว้เป็นบันทึกความทรงจำที่ผมอยากบอกว่า ตอนพระอาทิตย์ตกดินนั้นสวยงามจริงๆ แบบว่าไม่แพ้ที่ใดในโลกแห่งหนึ่งครับ(ขอเว่อร์นิดนึง)หากคุณมีโอกาสเดินทางมาบางแสนอย่าลืมแวะที่แหลมแท่นดูพระอาทิตย์ตกดินนะครับ



บรรยกาศที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน



บรรากาศหลังพระอาทิตย์ตกดิน

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บันทึกการเดินทางที่ผมไม่ได้ไปด้วยตัวเอง........

การบันทึกความทรงจำในการเดินทางนั้นแต่ละคนมีวิธีการบันทึกที่่แตกต่างกัน บางคนอาจจะเลือกจดบันทึก บางคนถ่ายรูปเก็บไว้ หรือบางคนอาจจะซื้อของที่ระลึกบางอย่างไว้เพื่อบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งนั้นเราเคยมาเหยียบที่ตรงนั้นแล้ว สำหรับผมแล้วมักจะถ่ายรูปไว้เป็นการบันทึกความทรงจำของผมเอง
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมมักจะบอกกับเพื่อนๆพี่ๆ หรือคนที่รู้จักเวลาพวกเขาไปเที่ยวไหน ผมจะบอกพวกเขาว่า
"ของฝากไม่ต้องน่ะ ขอโพสต์การ์ดใบเดียวพอ" ผมเริ่มที่จะบอกคนที่ผมรู้ว่าเค้าไปเที่ยวไหนด้วยประโยคนี้เสมอ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเวลาประมาณ 2 ปีได้แล้วที่ผมเริ่มที่จะขอโพสต์การ์ดจากพวกเขา แต่ขอบอกว่าผมไม่ได้สะสมโพสต์การ์ดอย่างเดียว แต่ผมเป็นการบันทึกการเดินทางที่ผมไม่ได้ไปเองอีกด้วย โดยผ่านจากการเล่าเรื่องราวผ่านกระดาษด้านหลังภาพของโพสต์การ์ด จากหนึ่งใบกลายเป็นสอง  สาม สี่ ห้า.........หลายสิบใบเข้าให้แล้ว แบบว่ามีทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยด้านหลังโพสต์การ์ดแน่นอนว่าคนที่ส่งให้ผมนั้นจะเขียนความประทับใจที่ได้ไปเที่ยวที่แห่งนั้น มันเหมือนการบันทึกความทรงจำที่ผมไม่ได้ไปเอง แต่เราสามารถรับทราบความรู้สึกผ่านโพสต์การ์ดใบนั้น ผมได้บอกกับคนที่ส่งให้ผมว่าวันหนึ่งผมจะไปตามสถานที่ในโพสต์การ์ดที่พวกเขาส่งให้ครบทุกใบ แต่ดูแล้ว ณ ตอนนี้ผมได้รับมาก็ใกล้จะครบ 100 ใบแล้ว คงใช้เวลาปีสองปีไปไม่ครบแน่ๆแต่ก็จะพยายามไปให้ครบทุกที่ครับ ส่วนด้านล่างเป็นรูปภาพของโพสตืการ์ดทั้งหมดที่ผมได้รับจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆครับ
ส่วนผู้ที่ต้องการเข้าไปอ่านบันทึกความทรงจำของเพื่อนๆของผมที่เขียนส่งมาให้ผมสามารถอ่านได้ที่
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.415115869310.191294.650509310&type=1





วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ประสบการณ์ที่ใครไม่ลองไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร


ทุกคนคงเคยดูหนังหรือละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตในมหาลัย โดยสิ่งที่เรามักจะเจอคือเรื่องราวชีวิตในรั้วมหาลัยของหนุ่มสาวและกลุ่มเพื่อน โดยหนังละครเหล่านี้ทำให้คนที่ไม่เคยได้เข้ามาสัมผัสชีวิตในรั้วมหาลัยต่างมีความอยากที่จะมาใช้ชีวิตแบบในหนังหรือละครดูบ้าง ส่วนผมเองนั้นตอนสมัยที่ยังแบเบาะวัยกระเต๊าะ ตอนยังขาสี้นคอซอง ผมก้อไม่ต่างจากคนอื่นๆ คืออยากผ่านชีวิตการรับน้องเหมือนในละคร อยากทำกิจกรรมในรั้วมหาลัย โดยมีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมดูแล้วอยากทำมากคือ การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ตอนนั้นรู้สึกนะว่าถ้ามีโอกาสได้เข้ามหาลัยจะสมัครเข้าชมรมค่ายอาสาของมหาลัย และแล้วเมื่อถึงตอนที่ผมได้เข้ามาเรียนในมหาลัย ผมก็ตามรอยละคร เหมือนตามรอยซีรีย์เกาหลี 555 สมัครเป็นสมาชิกค่ายวิศวะอาสา เป็นค่ายของภาควิชาผมเอง ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ประสบการณ์ที่ผมดูในละครมันได้เป็นความจริงแล้ว ในตอนที่ผมอยู่ปี 1 ผมได้มีโอกาสออกเดินทางไปออกค่ายชุดแรกร่วมกับพี่ๆ ในชุดแรกที่ไปก่อนเพื่อไปเตรียมงานก่อนการเดินทางมาของชาวค่ายชุดใหญ่ หน้าที่หลักผมคือวิศวกรรมกรแบกหาม เรียกว่ากล้ามขึ้นเลยทีเดียว สิ่งที่ทุกๆปีที่รุ่นพี่ทำไว้คือการสร้างอาคารเรียน ในปีแรกนี้ผมได้ประสบการณ์ที่เรียกว่าไม่เหมือนกับในละครครับ คือว่ามันมีอาการแบบลอยๆกับความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่เราได้ทำสิ่งที่เรียกว่าบุญหรืออะไรไม่รู้เรียกไม่ถูกให้กับเด็กผู้ไร้โอกาสในชนบท ต้องบอกว่าตอนนั้นผมมีความภาคภูมิใจในค่ายวิศวะอาสาของภาควิชาของผมมาก มันเกิดความรักและความอยากที่จะทำเพื่อคนที่หลายๆคนไม่เคยรู้ว่าพวกเค้าลำบากแค่ไหนให้กับผู้ไร้โอกาสในชนบท  ค่ายวิศวะอาสานี้เป็นเหมือนมรดกตกทอดจากรุ่นต่อรุ่นให้แกนนำคือนักศึกษาปีที่ 3 เป็นแกนนำในการทำกิจกรรม และแล้วการเวลาผ่านไป รุ่นผมก็ได้มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นพี่ปี 3 นั้นหมายความว่าพวกผมต้องรับผิดชอบค่ายครั้งนี้ โดยในช่วงแรกหน้าที่หลักคือการจัดหาเงินทุนจากผู้ทีจิตศรัทธาทั้งหลาย โดยในปีนั้นพวกผมประชุมกันว่าจะตั้งงบประมาณ 3-4 แสนบาทในการออกค่าย โดยแบ่งเป็นค่าก่อสร้าง ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ที่นำไปแจกเด็ก ๆ และค่าใช้จ่ายต่างๆตลอดการออกค่าย ในตอนนั้นพวกเราโชคดีที่ได้งบประมาณเหลือจากปีที่แล้วประมาณ 1 แสนบวกกับเงินที่ได้จากโครงการกระดานดำ ของกระทิงแดง มอบให้มาอีก 1 แสน แสดงว่าพวกผมต้องทำการหางบจากแหล่งอื่นๆ เข้ามาเพื่อทำให้งบนั้นได้ตามเป้า พวกผมรู้สึกว่าเครียดมากในช่วงนั้นว่้าจะหาเงินจากไหนมาทำให้ได้ตามเป้าเพื่อให้ค่ายวิศวะอาสาออกค่ายได้ตามเวลาที่วางไว้ และแล้วพวกผมก็ได้ออกค่ายในปีนั้น โดยในปีนั้นเปิดกว้างให้คณะอื่นๆ นอกจากวิศวะเข้าร่วมโดยมีสาวๆอักษร มาร่วมด้วย ทำให้ค่ายมีัสีสันในปีนั้น โดยสถานที่ที่เลือกในรุ่นผมคือ โรงเรียนบ้านคกเว้า จ.เลย เป็นโรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่ข้างริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดีครับ โดยพวกผมมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบออกเป็น 3 ฝ่ายคือ ก่อสร้าง แม่ครัว และสัมพันธ์ชาวบ้าน ส่วนผมเหมือนเดิมอยู่ฝ่ายใช้แรงงานก่อสร้าง ในปีนั้นผมกับเพื่อนๆน้องๆ ร่วมแรงร่วมใจกับแบบว่าทำงา่นกันบางวันเสร็จเกือบเที่ยงคืนก้อมี ทุกคนต่างทำงานกันแบบไม่กินแรงในการทำงาน และแล้วงานก้ออกมาเสร็จครับ แต่มีบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ คือเรื่องในรายละเอียดของเรื่องสี เราตกลงว่าจะมีทีมงานที่อยู่เก็บจนเสร็จ เป็นรุ่นน้องและท่านประธานเต่า อยู่เก็บงานจนเสร็จ งานในปีนั้นผ่านไปได้ด้วยดีต้องขอบคุณความร่วมมือของทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกดีใจที่ความใฝ่ฝันในตอนเป็นเด็กมัธยมเป็นจริงคือได้มาตามรอยละครชีวิตของนักศึกษาในรั้วมหาลัยบางตอนที่ผมชื่นชอบคือการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทตามที่ตั้งใจไว้ ต้องบอกความอยากกับการสัมผัสบรรยากาศจริงของการออกค่ายอาสามันไม่เหมือนกันคุณต้องลองทำมันดู คุณจะรู้ว่าการช่วยเหลือเด็กไร้โอกาสโดยการสร้างหรือบริจาคเงินให้กับพวกเขานั้น เป็นความรู้สึกที่อยากที่จะอธิบายได้

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การกลับมาที่ชอบที่ชอบของผม ณ สนามฟุตบอล กับการได้พบความประทับใจที่ไม่อาจลืม


เครดิตรูปต้นฉบับก่อนการปรับปรุงจาก www.bangkokglassfc.com


"ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ"
เนื้อเพลงท่อนนี้หลายคนคงเคยได้ยินและนึกออกว่าเป็นเพลงของศิลปินวง หินเหล็กไฟ เพลงนี้คงเป็นเพลงที่หลายคนคงชื่นชอบกันอยู่แล้ว ถ้านับอายุของเพลงนี้คงจะกว่าสิบปีหรือเกือบสิบปีแล้วผมจำตัวเลขไม่ได้ เพลงนี้รู้สึกว่ากลับมาดังอีกครั้งหนึ่งเมื่อตอนต้นปีในรายการ Thailand got talent คงจำกันได้นะครับ เรียกว่าฟังแล้วในตอนนั้นน้ำตาจะไหลในตัวผู้ที่นำเพลงนี้มาประกวด เพราะผู้เข้าประกวดเล่นกีตาร์มือเดียวเพราะแขนอีกข้างใช้งานไม่ได้ หลังจากนั้นมาเพลงนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจมากๆ ให้เราสู้ชีวิต หลายคนคงเริ่มงงกับสิ่งที่ผมเขียนกับภาพประกอบที่เป็นรูปเหล่ากองเชียร์ฟุตบอลและมีข้อความเป็นเนื้อร้องของเพลงศรัทธา มันเกี่ยวของกับเรื่องที่ผมต้องการจะสื่อ โดยสิ่งที่ผมอยากเขียนเรื่องนี้มันมาจากการที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง หลังจากจากเว้นว่างไปนาน โดยสนามที่ผมเลือกไปนั้นเป็นสนามที่อยู่ใกล้ที่พักผมคือ สนามฟุตบอลของการท่าเรือ เป็นการแข่งขังระหว่าง การท่าเรือ กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี ตอนเดินทางไปถึงผมเห็นแล้วว่าฝนกำลังครึ้มมาแต่ไกล คิดแน่ว่าวันนี้ได้ดูบอลแบบเปียกๆ แน่นอน และก็เป็นจริงฝนตกลงมาในตอนที่เริ่มแข่งขันพอดี แบบว่าตกลงมาจนน้ำนองไปทั้งสนาม มองลงไปนี่สนามบอลหรือสระว่ายน้ำกันแน่ และแล้วฝ่ายจัดการแข่งขันก้สั่งหยุดเกมก่อนเพราะสนามเปียกนองไปด้วยน้ำ ในตอนนั้นผมก็เปียกเหมือนกันแม้จะนั่งฝั่งมีหลังคาก็ตาม ในตอนนั้นแฟนบอลท่าเรือก็เปียกไปกันหมดเพราะแฟนท่าเรือส่วนใหญ่อยู่ฝั่งไม่มีหลังคา ในตอนนั้นทั้งสนามรออยู่ว่าเมื่อไหรฝนจะหยุดตกเพราะจะได้แข่งต่อ และแล้วฝนก็หยุดตกทุกคนเริ่มมีความหวังว่าจะได้ดุการแข่งขันต่อ แต่ Oh my god ผมมองไปที่มุมธงทั้งสี่ด้านพบว่า มีน้ำนองท่วมแบบว่าเลี้ยงปลาได้เลยทีเดียว ทำไงดีหล่ะ ทันใดนั้นผมเห็นเจ้าหน้าที่พยายามไประบายน้ำออก และในขณะเดียวกันเพลงที่ทุกคนในสนามต้องรู้สึกว่าขนลุกก็เปิดขึ้น ใช่เลยครับเพลงนั้นคือเพลงศรัทธา ผมสังเกตุไปรอบๆสนามพบเห็นเลยว่าทุกคนต่างเปียกปอนยืนรอนั่งรอเพื่อจะรอคำตอบจากกรรมการว่าจะได้แข่งต่อไหม แต่พอเพลงนี้เปิดขึ้น ทุกคนต่างร่วมกันร้องเพลงนี้พร้อมกันในวันนั้นผมดูจากสายตาจำนวนแฟนบอลน่าจะใกล้หมื่นคนได้ ตอนที่ยังไม่ถึงท่อนฮุกนั้นทางสนามยังเปิดเพลงไป แต่พอมาถึงท่อนฮุก ทางสนามปิดเพลง สิ่งที่ได้ยินก็คือเสียงของแฟนบอลทั้งสนามร้องเพลงนี้ร่วมกัน ความรู้สึกในตอนนั้นต้องบอกว่าขนลุึกครับเหมือนอยูกลางคอนเสิร์ต ทุกคนเปล่งเสียงออกมา ส่วนตัวผมไม่พลาดแน่นอนที่จะร้องเพลงนี้ร่วมกับแฟนบอล ประทับใจมากครับ การที่ผมมาวันนี้เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าสุดยอดแห่งความประทับใจ ถึงแม้ว่าวันนี้การแข่งขันจะไม่ได้แข่งขันต่อก็ตาม แต่สิ่งที่ได้รับคือแฟนบอลทั้งสองทีมที่เคยมีเรื่องมีราวกันในอดีต ต่างร้องเพลงเดียวกัน ทำให้ผมรู้ว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่มากกว่าการแข่งขัน ไม่ได้แบ่งฝั่งแบ่งค่ายเสมอไป บางครั้งเรายังสามารถทำอะไรร่วมกันแบบสร้างสรรค์ได้ เช่นเดียวกับวันนี้พวกเราใช้เสียงเพลงเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพที่ดีให้กัน เสียงเพลงทำให้เราทุกคนรู้เรามีความศรัทธาในกีฬาฟุตบอลเหมือนๆกัน  ไม่ว่ามาจากที่ไหนต่างที่ต่างถิ่น เราเป็นเพื่อนกันในสนามได้ แบบคำที่พูดที่ผมแต่งขึ้นว่า "ฟุตบอลคือมิตรภาพไร้พรมแดน"..