วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การกลับมาที่ชอบที่ชอบของผม ณ สนามฟุตบอล กับการได้พบความประทับใจที่ไม่อาจลืม


เครดิตรูปต้นฉบับก่อนการปรับปรุงจาก www.bangkokglassfc.com


"ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ"
เนื้อเพลงท่อนนี้หลายคนคงเคยได้ยินและนึกออกว่าเป็นเพลงของศิลปินวง หินเหล็กไฟ เพลงนี้คงเป็นเพลงที่หลายคนคงชื่นชอบกันอยู่แล้ว ถ้านับอายุของเพลงนี้คงจะกว่าสิบปีหรือเกือบสิบปีแล้วผมจำตัวเลขไม่ได้ เพลงนี้รู้สึกว่ากลับมาดังอีกครั้งหนึ่งเมื่อตอนต้นปีในรายการ Thailand got talent คงจำกันได้นะครับ เรียกว่าฟังแล้วในตอนนั้นน้ำตาจะไหลในตัวผู้ที่นำเพลงนี้มาประกวด เพราะผู้เข้าประกวดเล่นกีตาร์มือเดียวเพราะแขนอีกข้างใช้งานไม่ได้ หลังจากนั้นมาเพลงนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจมากๆ ให้เราสู้ชีวิต หลายคนคงเริ่มงงกับสิ่งที่ผมเขียนกับภาพประกอบที่เป็นรูปเหล่ากองเชียร์ฟุตบอลและมีข้อความเป็นเนื้อร้องของเพลงศรัทธา มันเกี่ยวของกับเรื่องที่ผมต้องการจะสื่อ โดยสิ่งที่ผมอยากเขียนเรื่องนี้มันมาจากการที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง หลังจากจากเว้นว่างไปนาน โดยสนามที่ผมเลือกไปนั้นเป็นสนามที่อยู่ใกล้ที่พักผมคือ สนามฟุตบอลของการท่าเรือ เป็นการแข่งขังระหว่าง การท่าเรือ กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี ตอนเดินทางไปถึงผมเห็นแล้วว่าฝนกำลังครึ้มมาแต่ไกล คิดแน่ว่าวันนี้ได้ดูบอลแบบเปียกๆ แน่นอน และก็เป็นจริงฝนตกลงมาในตอนที่เริ่มแข่งขันพอดี แบบว่าตกลงมาจนน้ำนองไปทั้งสนาม มองลงไปนี่สนามบอลหรือสระว่ายน้ำกันแน่ และแล้วฝ่ายจัดการแข่งขันก้สั่งหยุดเกมก่อนเพราะสนามเปียกนองไปด้วยน้ำ ในตอนนั้นผมก็เปียกเหมือนกันแม้จะนั่งฝั่งมีหลังคาก็ตาม ในตอนนั้นแฟนบอลท่าเรือก็เปียกไปกันหมดเพราะแฟนท่าเรือส่วนใหญ่อยู่ฝั่งไม่มีหลังคา ในตอนนั้นทั้งสนามรออยู่ว่าเมื่อไหรฝนจะหยุดตกเพราะจะได้แข่งต่อ และแล้วฝนก็หยุดตกทุกคนเริ่มมีความหวังว่าจะได้ดุการแข่งขันต่อ แต่ Oh my god ผมมองไปที่มุมธงทั้งสี่ด้านพบว่า มีน้ำนองท่วมแบบว่าเลี้ยงปลาได้เลยทีเดียว ทำไงดีหล่ะ ทันใดนั้นผมเห็นเจ้าหน้าที่พยายามไประบายน้ำออก และในขณะเดียวกันเพลงที่ทุกคนในสนามต้องรู้สึกว่าขนลุกก็เปิดขึ้น ใช่เลยครับเพลงนั้นคือเพลงศรัทธา ผมสังเกตุไปรอบๆสนามพบเห็นเลยว่าทุกคนต่างเปียกปอนยืนรอนั่งรอเพื่อจะรอคำตอบจากกรรมการว่าจะได้แข่งต่อไหม แต่พอเพลงนี้เปิดขึ้น ทุกคนต่างร่วมกันร้องเพลงนี้พร้อมกันในวันนั้นผมดูจากสายตาจำนวนแฟนบอลน่าจะใกล้หมื่นคนได้ ตอนที่ยังไม่ถึงท่อนฮุกนั้นทางสนามยังเปิดเพลงไป แต่พอมาถึงท่อนฮุก ทางสนามปิดเพลง สิ่งที่ได้ยินก็คือเสียงของแฟนบอลทั้งสนามร้องเพลงนี้ร่วมกัน ความรู้สึกในตอนนั้นต้องบอกว่าขนลุึกครับเหมือนอยูกลางคอนเสิร์ต ทุกคนเปล่งเสียงออกมา ส่วนตัวผมไม่พลาดแน่นอนที่จะร้องเพลงนี้ร่วมกับแฟนบอล ประทับใจมากครับ การที่ผมมาวันนี้เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าสุดยอดแห่งความประทับใจ ถึงแม้ว่าวันนี้การแข่งขันจะไม่ได้แข่งขันต่อก็ตาม แต่สิ่งที่ได้รับคือแฟนบอลทั้งสองทีมที่เคยมีเรื่องมีราวกันในอดีต ต่างร้องเพลงเดียวกัน ทำให้ผมรู้ว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่มากกว่าการแข่งขัน ไม่ได้แบ่งฝั่งแบ่งค่ายเสมอไป บางครั้งเรายังสามารถทำอะไรร่วมกันแบบสร้างสรรค์ได้ เช่นเดียวกับวันนี้พวกเราใช้เสียงเพลงเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพที่ดีให้กัน เสียงเพลงทำให้เราทุกคนรู้เรามีความศรัทธาในกีฬาฟุตบอลเหมือนๆกัน  ไม่ว่ามาจากที่ไหนต่างที่ต่างถิ่น เราเป็นเพื่อนกันในสนามได้ แบบคำที่พูดที่ผมแต่งขึ้นว่า "ฟุตบอลคือมิตรภาพไร้พรมแดน"..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น