วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดูพระอาทิตย์ตกดินที่บางแสน ไม่แพ้ที่ใดในเมืองไทย

         

               หากจะพูดถึงบางแสนหลายคนอาจจะนึกถึงเพียงแค่หาดที่มีเปผ้าใบพร้อมกับอาหารทะเลที่มาเสิร์ฟถึงที่ ซึ่งถ้าจะถามผมก่อนหน้านี้ก็ต้องบอกว่า ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันไม่มีอะไรพิเศษสำหรับบางแสน
               แต่การเดินทางรอบนี้ต้องบอกว่าเปลี่ยนความคิดไปเลยครับเรื่องบางแสน เพราะเราได้ไปแล้วเจอรุ่นน้องที่เรียนอยู่ที่มหาลัยบูรพา น้องเค้าแนะนำว่า "พี่ๆรู้จัก walking street บางแสนป่าว" ด้วยความไม่รู้ก็คิดว่าน่าจะเป็นตลาดนัดทั่วไปที่ตั้งตอนกลางคืน จริงๆแล้วมันก็ไม่เหมือนซะทีเดียวหลังจากไปที่ได้ฟังจากน้องเค้าเล่า แต่เราก็สนใจนะ จึงบอกว่าเราจะไปเดินเล่นที่นั้น มันต้องมีของอร่อยๆเยอะแน่นอน
              ผมเดินหน้าจากจุดที่ผมนั่งกินข้าวอาหารทะเลแบบอิ่มหน่ำสำราญแล้ว โดยกะว่าจะเดินย่อยไปถ่ายรูปไป แบบชิลๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่เดินไปเดินมาเอ๊ะมันไม่ใช่ใกล้ๆนะเนี่ย ปรากฎว่ามันน่าจะ 2-3 กิโลเมตรได้กว่าจะถึง แต่พอไปถึงก็รู้สึกว่าตรงที่ผมเห็นนั้นเค้าเรัียกกันว่า Walking Street บางแสน ผมทำไมไม่เคยมาว่ะ ถามไปถามมาได้ความว่ามันคือจุดที่คนแถวนั้นเรียกว่า "แหลมแท่น" เป็นจุดที่คนแถวนั้นและนักท่องเที่ยวนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นั้น แต่นั้นแหละครับ ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน ว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับบางแสนแค่ปลายจมูกเอง
              พอไปถึงก็พบว่าบรรยากาศตรง Walking Street มันก็เป็นเหมือนคล้ายๆกับตลาดนัดทั่วไป แต่มีสิ่งที่ดึงดูดจริงๆคือจุดดูพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมแท่นนี่หละครับ ผมถ่ายรูปเล่นเก็บบรรยากาศบริเวณนั้นไว้เป็นบันทึกความทรงจำที่ผมอยากบอกว่า ตอนพระอาทิตย์ตกดินนั้นสวยงามจริงๆ แบบว่าไม่แพ้ที่ใดในโลกแห่งหนึ่งครับ(ขอเว่อร์นิดนึง)หากคุณมีโอกาสเดินทางมาบางแสนอย่าลืมแวะที่แหลมแท่นดูพระอาทิตย์ตกดินนะครับ



บรรยกาศที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน



บรรากาศหลังพระอาทิตย์ตกดิน

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บันทึกการเดินทางที่ผมไม่ได้ไปด้วยตัวเอง........

การบันทึกความทรงจำในการเดินทางนั้นแต่ละคนมีวิธีการบันทึกที่่แตกต่างกัน บางคนอาจจะเลือกจดบันทึก บางคนถ่ายรูปเก็บไว้ หรือบางคนอาจจะซื้อของที่ระลึกบางอย่างไว้เพื่อบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งนั้นเราเคยมาเหยียบที่ตรงนั้นแล้ว สำหรับผมแล้วมักจะถ่ายรูปไว้เป็นการบันทึกความทรงจำของผมเอง
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมมักจะบอกกับเพื่อนๆพี่ๆ หรือคนที่รู้จักเวลาพวกเขาไปเที่ยวไหน ผมจะบอกพวกเขาว่า
"ของฝากไม่ต้องน่ะ ขอโพสต์การ์ดใบเดียวพอ" ผมเริ่มที่จะบอกคนที่ผมรู้ว่าเค้าไปเที่ยวไหนด้วยประโยคนี้เสมอ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเวลาประมาณ 2 ปีได้แล้วที่ผมเริ่มที่จะขอโพสต์การ์ดจากพวกเขา แต่ขอบอกว่าผมไม่ได้สะสมโพสต์การ์ดอย่างเดียว แต่ผมเป็นการบันทึกการเดินทางที่ผมไม่ได้ไปเองอีกด้วย โดยผ่านจากการเล่าเรื่องราวผ่านกระดาษด้านหลังภาพของโพสต์การ์ด จากหนึ่งใบกลายเป็นสอง  สาม สี่ ห้า.........หลายสิบใบเข้าให้แล้ว แบบว่ามีทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยด้านหลังโพสต์การ์ดแน่นอนว่าคนที่ส่งให้ผมนั้นจะเขียนความประทับใจที่ได้ไปเที่ยวที่แห่งนั้น มันเหมือนการบันทึกความทรงจำที่ผมไม่ได้ไปเอง แต่เราสามารถรับทราบความรู้สึกผ่านโพสต์การ์ดใบนั้น ผมได้บอกกับคนที่ส่งให้ผมว่าวันหนึ่งผมจะไปตามสถานที่ในโพสต์การ์ดที่พวกเขาส่งให้ครบทุกใบ แต่ดูแล้ว ณ ตอนนี้ผมได้รับมาก็ใกล้จะครบ 100 ใบแล้ว คงใช้เวลาปีสองปีไปไม่ครบแน่ๆแต่ก็จะพยายามไปให้ครบทุกที่ครับ ส่วนด้านล่างเป็นรูปภาพของโพสตืการ์ดทั้งหมดที่ผมได้รับจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆครับ
ส่วนผู้ที่ต้องการเข้าไปอ่านบันทึกความทรงจำของเพื่อนๆของผมที่เขียนส่งมาให้ผมสามารถอ่านได้ที่
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.415115869310.191294.650509310&type=1





วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ประสบการณ์ที่ใครไม่ลองไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร


ทุกคนคงเคยดูหนังหรือละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตในมหาลัย โดยสิ่งที่เรามักจะเจอคือเรื่องราวชีวิตในรั้วมหาลัยของหนุ่มสาวและกลุ่มเพื่อน โดยหนังละครเหล่านี้ทำให้คนที่ไม่เคยได้เข้ามาสัมผัสชีวิตในรั้วมหาลัยต่างมีความอยากที่จะมาใช้ชีวิตแบบในหนังหรือละครดูบ้าง ส่วนผมเองนั้นตอนสมัยที่ยังแบเบาะวัยกระเต๊าะ ตอนยังขาสี้นคอซอง ผมก้อไม่ต่างจากคนอื่นๆ คืออยากผ่านชีวิตการรับน้องเหมือนในละคร อยากทำกิจกรรมในรั้วมหาลัย โดยมีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมดูแล้วอยากทำมากคือ การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ตอนนั้นรู้สึกนะว่าถ้ามีโอกาสได้เข้ามหาลัยจะสมัครเข้าชมรมค่ายอาสาของมหาลัย และแล้วเมื่อถึงตอนที่ผมได้เข้ามาเรียนในมหาลัย ผมก็ตามรอยละคร เหมือนตามรอยซีรีย์เกาหลี 555 สมัครเป็นสมาชิกค่ายวิศวะอาสา เป็นค่ายของภาควิชาผมเอง ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ประสบการณ์ที่ผมดูในละครมันได้เป็นความจริงแล้ว ในตอนที่ผมอยู่ปี 1 ผมได้มีโอกาสออกเดินทางไปออกค่ายชุดแรกร่วมกับพี่ๆ ในชุดแรกที่ไปก่อนเพื่อไปเตรียมงานก่อนการเดินทางมาของชาวค่ายชุดใหญ่ หน้าที่หลักผมคือวิศวกรรมกรแบกหาม เรียกว่ากล้ามขึ้นเลยทีเดียว สิ่งที่ทุกๆปีที่รุ่นพี่ทำไว้คือการสร้างอาคารเรียน ในปีแรกนี้ผมได้ประสบการณ์ที่เรียกว่าไม่เหมือนกับในละครครับ คือว่ามันมีอาการแบบลอยๆกับความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่เราได้ทำสิ่งที่เรียกว่าบุญหรืออะไรไม่รู้เรียกไม่ถูกให้กับเด็กผู้ไร้โอกาสในชนบท ต้องบอกว่าตอนนั้นผมมีความภาคภูมิใจในค่ายวิศวะอาสาของภาควิชาของผมมาก มันเกิดความรักและความอยากที่จะทำเพื่อคนที่หลายๆคนไม่เคยรู้ว่าพวกเค้าลำบากแค่ไหนให้กับผู้ไร้โอกาสในชนบท  ค่ายวิศวะอาสานี้เป็นเหมือนมรดกตกทอดจากรุ่นต่อรุ่นให้แกนนำคือนักศึกษาปีที่ 3 เป็นแกนนำในการทำกิจกรรม และแล้วการเวลาผ่านไป รุ่นผมก็ได้มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นพี่ปี 3 นั้นหมายความว่าพวกผมต้องรับผิดชอบค่ายครั้งนี้ โดยในช่วงแรกหน้าที่หลักคือการจัดหาเงินทุนจากผู้ทีจิตศรัทธาทั้งหลาย โดยในปีนั้นพวกผมประชุมกันว่าจะตั้งงบประมาณ 3-4 แสนบาทในการออกค่าย โดยแบ่งเป็นค่าก่อสร้าง ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ที่นำไปแจกเด็ก ๆ และค่าใช้จ่ายต่างๆตลอดการออกค่าย ในตอนนั้นพวกเราโชคดีที่ได้งบประมาณเหลือจากปีที่แล้วประมาณ 1 แสนบวกกับเงินที่ได้จากโครงการกระดานดำ ของกระทิงแดง มอบให้มาอีก 1 แสน แสดงว่าพวกผมต้องทำการหางบจากแหล่งอื่นๆ เข้ามาเพื่อทำให้งบนั้นได้ตามเป้า พวกผมรู้สึกว่าเครียดมากในช่วงนั้นว่้าจะหาเงินจากไหนมาทำให้ได้ตามเป้าเพื่อให้ค่ายวิศวะอาสาออกค่ายได้ตามเวลาที่วางไว้ และแล้วพวกผมก็ได้ออกค่ายในปีนั้น โดยในปีนั้นเปิดกว้างให้คณะอื่นๆ นอกจากวิศวะเข้าร่วมโดยมีสาวๆอักษร มาร่วมด้วย ทำให้ค่ายมีัสีสันในปีนั้น โดยสถานที่ที่เลือกในรุ่นผมคือ โรงเรียนบ้านคกเว้า จ.เลย เป็นโรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่ข้างริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดีครับ โดยพวกผมมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบออกเป็น 3 ฝ่ายคือ ก่อสร้าง แม่ครัว และสัมพันธ์ชาวบ้าน ส่วนผมเหมือนเดิมอยู่ฝ่ายใช้แรงงานก่อสร้าง ในปีนั้นผมกับเพื่อนๆน้องๆ ร่วมแรงร่วมใจกับแบบว่าทำงา่นกันบางวันเสร็จเกือบเที่ยงคืนก้อมี ทุกคนต่างทำงานกันแบบไม่กินแรงในการทำงาน และแล้วงานก้ออกมาเสร็จครับ แต่มีบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ คือเรื่องในรายละเอียดของเรื่องสี เราตกลงว่าจะมีทีมงานที่อยู่เก็บจนเสร็จ เป็นรุ่นน้องและท่านประธานเต่า อยู่เก็บงานจนเสร็จ งานในปีนั้นผ่านไปได้ด้วยดีต้องขอบคุณความร่วมมือของทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกดีใจที่ความใฝ่ฝันในตอนเป็นเด็กมัธยมเป็นจริงคือได้มาตามรอยละครชีวิตของนักศึกษาในรั้วมหาลัยบางตอนที่ผมชื่นชอบคือการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทตามที่ตั้งใจไว้ ต้องบอกความอยากกับการสัมผัสบรรยากาศจริงของการออกค่ายอาสามันไม่เหมือนกันคุณต้องลองทำมันดู คุณจะรู้ว่าการช่วยเหลือเด็กไร้โอกาสโดยการสร้างหรือบริจาคเงินให้กับพวกเขานั้น เป็นความรู้สึกที่อยากที่จะอธิบายได้

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การกลับมาที่ชอบที่ชอบของผม ณ สนามฟุตบอล กับการได้พบความประทับใจที่ไม่อาจลืม


เครดิตรูปต้นฉบับก่อนการปรับปรุงจาก www.bangkokglassfc.com


"ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ"
เนื้อเพลงท่อนนี้หลายคนคงเคยได้ยินและนึกออกว่าเป็นเพลงของศิลปินวง หินเหล็กไฟ เพลงนี้คงเป็นเพลงที่หลายคนคงชื่นชอบกันอยู่แล้ว ถ้านับอายุของเพลงนี้คงจะกว่าสิบปีหรือเกือบสิบปีแล้วผมจำตัวเลขไม่ได้ เพลงนี้รู้สึกว่ากลับมาดังอีกครั้งหนึ่งเมื่อตอนต้นปีในรายการ Thailand got talent คงจำกันได้นะครับ เรียกว่าฟังแล้วในตอนนั้นน้ำตาจะไหลในตัวผู้ที่นำเพลงนี้มาประกวด เพราะผู้เข้าประกวดเล่นกีตาร์มือเดียวเพราะแขนอีกข้างใช้งานไม่ได้ หลังจากนั้นมาเพลงนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจมากๆ ให้เราสู้ชีวิต หลายคนคงเริ่มงงกับสิ่งที่ผมเขียนกับภาพประกอบที่เป็นรูปเหล่ากองเชียร์ฟุตบอลและมีข้อความเป็นเนื้อร้องของเพลงศรัทธา มันเกี่ยวของกับเรื่องที่ผมต้องการจะสื่อ โดยสิ่งที่ผมอยากเขียนเรื่องนี้มันมาจากการที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง หลังจากจากเว้นว่างไปนาน โดยสนามที่ผมเลือกไปนั้นเป็นสนามที่อยู่ใกล้ที่พักผมคือ สนามฟุตบอลของการท่าเรือ เป็นการแข่งขังระหว่าง การท่าเรือ กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี ตอนเดินทางไปถึงผมเห็นแล้วว่าฝนกำลังครึ้มมาแต่ไกล คิดแน่ว่าวันนี้ได้ดูบอลแบบเปียกๆ แน่นอน และก็เป็นจริงฝนตกลงมาในตอนที่เริ่มแข่งขันพอดี แบบว่าตกลงมาจนน้ำนองไปทั้งสนาม มองลงไปนี่สนามบอลหรือสระว่ายน้ำกันแน่ และแล้วฝ่ายจัดการแข่งขันก้สั่งหยุดเกมก่อนเพราะสนามเปียกนองไปด้วยน้ำ ในตอนนั้นผมก็เปียกเหมือนกันแม้จะนั่งฝั่งมีหลังคาก็ตาม ในตอนนั้นแฟนบอลท่าเรือก็เปียกไปกันหมดเพราะแฟนท่าเรือส่วนใหญ่อยู่ฝั่งไม่มีหลังคา ในตอนนั้นทั้งสนามรออยู่ว่าเมื่อไหรฝนจะหยุดตกเพราะจะได้แข่งต่อ และแล้วฝนก็หยุดตกทุกคนเริ่มมีความหวังว่าจะได้ดุการแข่งขันต่อ แต่ Oh my god ผมมองไปที่มุมธงทั้งสี่ด้านพบว่า มีน้ำนองท่วมแบบว่าเลี้ยงปลาได้เลยทีเดียว ทำไงดีหล่ะ ทันใดนั้นผมเห็นเจ้าหน้าที่พยายามไประบายน้ำออก และในขณะเดียวกันเพลงที่ทุกคนในสนามต้องรู้สึกว่าขนลุกก็เปิดขึ้น ใช่เลยครับเพลงนั้นคือเพลงศรัทธา ผมสังเกตุไปรอบๆสนามพบเห็นเลยว่าทุกคนต่างเปียกปอนยืนรอนั่งรอเพื่อจะรอคำตอบจากกรรมการว่าจะได้แข่งต่อไหม แต่พอเพลงนี้เปิดขึ้น ทุกคนต่างร่วมกันร้องเพลงนี้พร้อมกันในวันนั้นผมดูจากสายตาจำนวนแฟนบอลน่าจะใกล้หมื่นคนได้ ตอนที่ยังไม่ถึงท่อนฮุกนั้นทางสนามยังเปิดเพลงไป แต่พอมาถึงท่อนฮุก ทางสนามปิดเพลง สิ่งที่ได้ยินก็คือเสียงของแฟนบอลทั้งสนามร้องเพลงนี้ร่วมกัน ความรู้สึกในตอนนั้นต้องบอกว่าขนลุึกครับเหมือนอยูกลางคอนเสิร์ต ทุกคนเปล่งเสียงออกมา ส่วนตัวผมไม่พลาดแน่นอนที่จะร้องเพลงนี้ร่วมกับแฟนบอล ประทับใจมากครับ การที่ผมมาวันนี้เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าสุดยอดแห่งความประทับใจ ถึงแม้ว่าวันนี้การแข่งขันจะไม่ได้แข่งขันต่อก็ตาม แต่สิ่งที่ได้รับคือแฟนบอลทั้งสองทีมที่เคยมีเรื่องมีราวกันในอดีต ต่างร้องเพลงเดียวกัน ทำให้ผมรู้ว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่มากกว่าการแข่งขัน ไม่ได้แบ่งฝั่งแบ่งค่ายเสมอไป บางครั้งเรายังสามารถทำอะไรร่วมกันแบบสร้างสรรค์ได้ เช่นเดียวกับวันนี้พวกเราใช้เสียงเพลงเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพที่ดีให้กัน เสียงเพลงทำให้เราทุกคนรู้เรามีความศรัทธาในกีฬาฟุตบอลเหมือนๆกัน  ไม่ว่ามาจากที่ไหนต่างที่ต่างถิ่น เราเป็นเพื่อนกันในสนามได้ แบบคำที่พูดที่ผมแต่งขึ้นว่า "ฟุตบอลคือมิตรภาพไร้พรมแดน"..



วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สองฝากฝั่งคลองอัมพวาละลานตางาน Handmade





ไปเที่ยวมาก็หลายครั้งสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพยอดฮิตอย่างอัมพวาอยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 100 กิโลเมตรได้  ส่วนตัวผมแล้วการเดินทางครั้งนี้ไปเป็นครั้งที่สี่ ที่ผ่านๆมานั้นต้องบอกว่าเป็นแบบแออัดเบียดเสียดสุดๆ เวลาเดินในตลาดน้ำ ผมเป็นคนค่อนข้างที่ไม่ชอบอะไรที่แออัดสักเท่าไหร เพราะผมตัวใหญ่เวลาเดินต้องใช้พื้นที่มากหน่อย 555 ในสามครั้งแรกรู้สึกไม่ประทับใจอัมพวาสักเท่าไหรเพราะรู้สึกต้องแย่งชิงกันไปซะทุกอย่างเริ่มตั้งแต่ แย่งทางเดิน แย่งของกิน แย่งกันสวย แย่งกันหล่อ แย่งกันโพสต์ท่ากับฝาผนังบ้านใครก็ไม่รู้ แบบว่าไม่ถูกใจผู้ชายลัลล้าอย่างผมเลย(อันหลังนี้ล้อเล่น) มันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่อยากไปเลยสถานที่แห่งนี้ เพราะไม่อยากไปเจอสภาพเดิมๆอีก แต่ด้วยความที่ผมชอบเฮไหนเฮนั้นก็ได้มีโอกาสมาเยือนที่นี่อีกครั้ง แบบว่าครั้งนี้มาพร้อมกับเมฆดำคลึ้มก้อนใหญ่มาก แหละแล้วระหว่างการเดินทางฝนก็กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา นึกในใจเอาอีกแล้วอัมพวานี้ต้องมาแย่งกันหนีฝนเดินในตลาดอีกแล้วใช่ไหม พอมาถึงฝนก็หยุดพอดี ลืมบอกไปครั้งนี้มาแบบโฮมสเตย์ ลองดูอาจจะชอบบรรยากาศตอนกลางคืนก็ได้ หลังจากที่เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องในบ้านที่ชื่อว่าบ้านแม่อารมย์ ก็พากันออกจากบ้านเดินเข้าไปในตลาดอัมพวา สิ่งแรกที่แปลกไปคือวันนี้คนน้อยกว่าที่เคยเห็นเคยมาหลายเท่าตัว ผมเลยวิเคราะห์กันว่าเป็นเพราะอะไร เลยถึงบางอ้อกันครับเพราะอาทิตย์นั้นเป็นอาทิตย์ที่มีการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศคนจึงเลือกที่จะอยู่บ้านรอไปใช้สิทธิ เผอิญผมไปใช้สิทธิล่วงหน้ามาแล้ว สวรรค์เลยครับครั้งนี้ถนนที่เดินริมคลองโล่งเดินสะดวกมากๆกลิ้งไปยังได้ 555 เวอร์ไปนิด แต่ก็โล่งแล้วกัน ผมเดินไปแบบมีสมาธิกว่าทุกครั้ง ตั้งใจเลยว่าจะเก็บเกี่ยวโอกาสนี้ให้เต็มที่ไปเลย เดินไปดูที่ละร้านที่ตัวเองสนใจ สิ่งที่เห็นคือร้านขายของทั้งของกินของใช้ ของที่ระลึก เรียงเป็นตับ ตับ ตับ เลยครับ ผมไม่พลาดที่จะแวะลงในคลอง สั่งของกินที่ทำสดๆในเรือที่ลอยอยู่ในคลองอัมพวาครับ วันนั้นจำได้สั่งผัดไทยเกี๊ยวกรอบ Hand made ผัดกันสดๆเห็นกันจะจะ  อร่อยมากครับผัดไทยเจ้านี้ พออิ่มแล้วเดินต่อ ไม่พลาดครับที่จะเก็บบรรยากาศร้านค้าขายของเหล่านี้ เรียกว่าสองฝากฝั่งมีร้านขายของ  Hand made   เป็นหลายสิบร้าน มีของหลายรูปแบบทั้งเสื้อ โปสต์การ์ด ของที่ระลึก ผมเข้าไปไหนร้านทีี่ผมสนใจ บรรยากาศดีมากๆเพราะคนน้อย อากาศดีเย็นสบาย มีเวลาอยู่กับร้านแต่ละร้านที่เราชอบแบบจุใจ เดินไปเดินมามืดซะล่ะ แต่พอผมมองไปร้านค้าอีกฝั่งของฝากคลองเห็นสิ่งที่ผมชอบมากคือ ร้านแต่ละร้านเปิดไฟโดยแสงไฟนั้นเป็นแสงสีออกทองๆ ดูแล้วสวยมาก ถูกใจมาก พอเดินไปเดินมารู้สึกว่าเหนื่อยแล้วประจวบกับที่ผมซื้อตั๋วไปดูหิงห้อยไว้ครับใกล้เวลาแล้วจึงเดินกลับที่พักระหว่างเดินกลับก็เจอร้าน Hand made อีกหลายร้าน แบบว่าละลานตา เดินไม่นานผมก็มาถึงที่พัก แล้วก็ลงเรือไปผ่อนคลายในเรือนั่งกินลมดูหิงห้อยครับ................

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Ars longa, vita brevis ศิลปะยาวชีวิตสั้น……..





^_^ สำหรับผู้คนที่จบจากรั้วมหาลัยศิลปากรคงจะจดจำถึงคำขวัญประจำมหาวิทยาลัยที่เป็นภาษอิตาลีว่า Ars longa, vita brevis ศิลปะยาวชีวิตสั้น……..ซึ่งความหมายของมันไม่ได้หมายถึงคนที่ทำงานด้านศิลปะเท่านั้นกับหมายรวมถึงคนทุกอาชีพ ทุกศาสตร์ ในโลกใบนี้ หากมองดูอายุเฉลี่ยของมนุษย์เราปัจจุบัน คงจะไม่น่าจะเกินร้อยปีเป็นแน่  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้สั้นลงตามอายุขัยของมนุษย์นั่นคือ “ผลงานที่ถูกสร้างสรรค์จากฝีมือและมันสมองของมนุษย์” ดั่งคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า “ศิลปะยาวชีวิตสั้น” มันมีความหมายที่ว่า การที่เราได้ลงมือทำผลงานอะไรด้วยพลังสร้างสรรค์ที่เป็นผลงานที่มีคุณค่า  ผลงานนั้นมันอยู่กับโลกใบนี้ไปอีกนาน แม้ว่าวันหนึ่งเราตายไปแต่เชื่อว่าผลงานอันทรงคุณค่าของเรายังจะอยู่ไปอีกนาน ดังนั้นเราจะรอช้ากันทำไมจงดึงพลังความสามารถของคุณออกมาสร้างสรรค์ผลงานที่ทรงคุณค่าให้โลกได้รู้ว่าเราคือ…….

พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว

ตัวคนเขียนเองจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร หลายคนคงคิดว่าตัวผมเองต้องจบด้านศิลปะมาเป็นแน่ แต่จริงๆแล้วผมไม่ได้จบศิลปะแต่จบคณะอื่นที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับศิลปะ จากรูปที่เห็นจะเป็นรูปของอาจารย์ ศิลพีระศรี  ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยสิ่งที่ทำให้ผมจำท่านแม่นมากคือคำพูดว่า “พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว”  เป็นคำพูดที่ฮิตติดปาก ชาวศิลปากรมากตอนที่ผมเรียนอยู่ที่นั้น คำพูดนี้มีความหมายอยู่ในตัวมันเองคือ ถ้าคิดจะทำอะไรก็ให้ลงมือทำซะอย่าปล่อยให้มันผ่านไปแล้วเรามานั่งเสียดายกันภายหลัง เมื่อมองย้อนกลับมาดูตัวเราเองว่าเราเคยรู้สึกอย่างคำพูดนี้ไหม ตอบได้เลยว่ามีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเองขาดหายไปในตอนเรียนมหาลัยและผมรู้สึกว่ามันสายไปแล้วคือ การใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ แบบว่าที่ถึงไหนถึงกัน เฮไหนเฮนั้น ทำอะไรร่วมกันใช้ชีวิตนักศึกษาให้เต็มที่ เหตุผลนะเหรอ คงไม่สามารถระบุได้ในที่นี้ แต่อยากบอกว่าตัวผมเองสูญเสียช่วงเวลาดีๆในชีวิตไปช่วงหนึ่งจริงๆ ในชีวิตปัจจุบันนี้หลังจากมาได้เจอกับจุดหักเหในชีวิตครั้งใหญ่ มันทำให้ผมคิดได้ว่า ผมต้องใช้ช่วงชีวิตที่เหลือแบบคุ้มค่า และต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ และจะไม่ให้คำว่าพรุ่งนี้ก็สายเสียแล้วมันย้อนกลับมาทำลายความรู้สึกผมอีกแน่นอน งานเขียนแรกอาจจะดูอารมณ์อึมครึมนิดนึงแต่จะพยายามเล่าเรื่องราวสนุกๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เพื่อนได้ฟังบ้างน

แสงอาทิตย์สีทองรูปหัวใจกับคนรู้ใจริมทะเล

เมื่อครั้งหนึ่งประมาณปลายปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเดินทางลงไปทางทิศใต้ของแผนที่ประเทศไทย โดยการเดินทางนี้ผมเดินทางไปกับคนที่ผมเรียกว่าแฟนครับ แต่ผมมักจะใช้คำว่าคนรู้ใจมากกว่า ฟังแล้วดูจะมีความหมายเวลาได้หยุดคิดมากกว่าคำว่าแฟน การเดินทางครั้งนี้ผมเริ่มต้นที่หัวลำโพง สุดปลายทางที่หาดบ้านกรูด จังหวัดประจวบขีรีคันธ์  ดูจากจุดเริ่มต้นแล้วทุกคนคงเดาได้ว่าผมเดินทางด้วยรถไฟเป็นการเดินทางที่ผมมองดูสองข้างทางระหว่างการเดินทางได้อารมณ์ ที่เรียกว่าอิ่มบรรยากาศประเทศไทยมาก การไปเที่ยวครั้งนี้เป็นการ เดินทางลำพังสองคนของผมกับคนรู้ใจครับ พอเดินทางมาถึงที่หาดต้องบอกว่าเงียบสงบมาก คนไม่เยอะเหมือนหาดอื่นๆ บรรยากาศดีครับ ผมสูดอากาศที่นี่เข้าไปเต็มปอดเลย แบบว่าเป็นการพักผ่อนที่คุ้มค่ามาก เพราะผมได้วางแผนล่วงหน้า เคลียร์งานให้เสร็จก่อนเดินทางครั้งนี้ รวมแล้วเตรียมการประมาณ 2 เดือนได้ ผมมาที่นี้ผมมาพักสมองจริงๆ แบบว่าที่หาดเงียบสงบมากเลยทีเดียว ในตอนเช้าผมก็ตื่นมาพร้อมกันประมาณ 6 โมงเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น ถ้ามากับเพื่อนๆนะ ตอนนี้คงนอน Hang over อยู่ที่บ้านพักแล้ว นับว่าเป็นโอกาศดีที่จะได้นั่งดูหาดสวยๆตอนเช้า พร้อมกับแสงอาทิตย์สีทองครับ งานนี้ผมไม่ลืมแน่นอนคือกล้องถ่ายรูปคู่ใจ หยิบมาถ่ายรูปนี้โดยบอกตรงๆ เป็นภาพที่ผมใช้วิธีการเลียนแบบในตำราหรือหนังสือตากล้องทั่วไปที่เค้าใช้กัน ถ่ายออกมาตามแบบที่อ่านมาเป๊ะ ถ่ายออกมาก็สวยดีนะครับ รูปนี้เน้นองค์ประกอบของแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังเราครับ ไม่เน้นความชัดแต่เน้นเรื่องแสง รูปนี้นางแบบก็คนรู้ใจผมเองเป็นคนโพสต์แบบไม่เห็นหน้า เห็นแต่เงารูปหัวใจที่ส่องผ่านมา รูปนี้ส่วนตัวผมชอบนะ เพราะมันสวยดี เพื่อนๆที่ได้อ่านบทความนี้ลองนำไปถ่ายดุครับจะได้ภาพแบบที่เราไม่ต้องปรับค่าอะไรมากมายเลย ถ่ายแบบย้อนแสงให้แบบเห็นเป็นเงาดำนี้แหละสวยดี...........ลองไปทะเลกับใครสักคนถือกล้องไปด้วย ตื่นเช้านิดนึง(แบบว่าไม่ต้องแฮงมาก) คุณจะเห็นแสงอาทิตย์สีทอง สะท้อนลงมาที่ท้องทะเล อารมณ์นั้นคุณคงคงจะอยากหยิบกล้องมาบันทึกความทรงจำเก็บไว้เป็นแน่ ไม่เชื่อลองดู

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งที่งานประจำปีพระปฐมเจดีย์และพระสมุทรเจดีย์.......

ผมเองเป็นนิสิตในรั้วสีเขียวเวอริเดียน มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ดังนั้นงานที่ชาวศิลปากรไม่พลาดเลยคืองานประจำปีของจังหวัดนครปฐมนั้นเอง นับว่าเป็นงานประจำปีที่ใหญ่มากงานหนึ่งในประเทศไทย ผู้คนมาจากไหนกันก็ไม่รู้ เต็มไปหมดครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจมากคือ เอ๊ะ! ทำไมงานวัดที่นี่ไม่มีปาโป่งอ่ะ สงสัยจึงถามกูรูได้คำตอบว่าในงานนี้จัดในบริเวณวัดที่เป็นอารามขององค์พระปฐมเจดีย์ การปาโป่งซึ่งจัดว่าเป็นการพนันอีกรูปแบบหนึ่งจึงไม่อนุญาตให้มีกิจกรรมนี้ I'm get.... แต่ไม่เป็นไรเพราะจุดสุดยอดของงานนี้คือร้านต่างๆที่มาจากแทบทุกมุมของไทย มาเปิดร้านขายที่นี้แบบว่า ของกินของใช้สาระพัด ถูกยกมารวมที่นี่ ผมอยู่ที่ที่ 4 ปี เดินในงานทั้ง 4 ปีครับ ว้า....จบมหาลัยซะล่ะ โอกาสที่จะมางานนี้ก็ยากขึ้นหละ่  แต่เป็นความบังเอิญแบบว่าลงตัวเป๊ะ ผมได้งานที่สมุทรปราการ 555 ที่นี่มีองค์เจดีย์ที่เรารู้จักดีคือ พระสมุทรเจดีย์ นั้นแหละครับผมถือว่าโชคดีมาก ได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศงานประจำปีที่ว่ากันว่ามีชื่อเสียงระดับประทศทั้ง 2 ที่ ม๊ะ ผมจะเล่าบรรกาศที่พระสมุทรเจดีย์ให้ฟังคือว่าโดยรวมแล้วงานจะไม่ได้แตกต่า่งกันเท่าไหร แต่ที่แปลกคือรอบๆงานนี้มีการละเล่นกิจกรรมที่ทางพระปฐมไม่มีนั้นคือ ปาโป่ง รถบั๊ม เกมทั้งหลายปรากฏว่าที่โน้นไม่มี มาโผล่นี้หมด อันนี้มันก็แล้วแต่คนจัดว่าจะจัดแบบไหนไม่ว่ากัน แต่ที่สุดของที่นี้คือว่างานนี้จัดสาองฝั่งแม่น้ำคือ ฝั่งพระสมุทรเจดีย์ และฝั่งปากน้ำ ด้วยความที่สองฝั่งนี้มีแม่น้ำคั่นดังนั้นการเดินทางต้องเดินทางด้วยเรือ เป็นแบบที่ผมชอบครับเวลานั่งอยู่บนเรือมองย้อนกลับมาที่พระสมุทรเจดีย์แบบว่าสวยม๊ากกๆ ใครที่ไม่เคยเที่ยวงานนี้ต้องลองมาดูครับ   ถ้าจะพูดถึงความเหมือนที่สองงานนี้มีก็คือการที่ผู้คนชาวพุทธอย่างเราๆ นี้ได้มีโอกาสมาสักการะเจดีย์ที่ว่ากันว่ามีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ทั้งสองที่  สิ่งที่เห็นคือการที่คู่หนุ่มสาว พ่อแม่ครอบครัว ได้จูงมือกันมากราบไหว้ทำบุญในงานนี้ครับ งานประจำปีสองที่นี้เรียกว่าเป็นความบังเอิญในเรื่องสถานที่ของที่เรียนกับที่ทำงานที่บังเอิญได้มาอยู่ในจังหวัดที่มีงานประจำปีที่จัดงานยิ่งใหญ่ทั้งสองงานเช่นนี้ ขอบคุณความบังเอิญ.
             

LOVE ME LOVE MY DOG

ทุกคนคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้างคือ LOVE ME LOVE MY DOG ความหมายที่ผมแปลตามความรู้ที่มี ณ ตอนนี้ ก็น่าจะแปลว่า ถ้าคุณรักฉันคุณต้องรักน้องหมาของฉันด้วยนะ ความหมายที่จริง ๆ มันอาจจะมากกว่าที่ผมเข้าใจก็ได้นะ  แต่เป็นอันว่าในเรื่องความหมายเป็นอันที่เข้าใจเหมือนที่ผมว่าก็แล้วกัน ผมถือว่าเป็นคนนึงที่หลงเสน่ห์ความน่ารักขี้เล่นของเจ้าตูบทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เข้าแบบจังๆ เรียกว่าเป็นสาวกคนรักน้องหมาเหมือนหัวข้อเรื่องเลยทีเดียว จากรูปที่ทุกคนเห็นทุกคนเข้าใจไม่ผิดครับมันคือเจ้าตูบแสนรักของผมเอง โดยเจ้าตูบในรูปผมได้ตั้งชื่อว่าน้องทีม ฟังดูน่ารักทีเดียว หลายคนคงสงสัยว่าผู้ชายอย่างผมทำไมถึงเลี้ยงน้องหมาแล้วรักแสนรักเจ้าตูบมากมาย บอกได้คำเดียวว่าตั้งแต่เด็กจนโตปัจจุบันอายุ 27 ปี มีความผูกพันกับน้องหมาตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านจะเลี้ยงน้องหมามาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก เรียกได้ว่ามีน้องหมาในบ้านบางตัวที่ผมได้เลี้ยงในวัยเด็กอายุมากกว่าผมอีกด้วย  จะให้ผมนับว่าผมและที่บ้านเลี้ยงน้องมากี่ตัวแล้วต้องบอกว่าน่าจะเกิน 10 ตัวได้ และสิ่งที่ทำให้ผมรักน้องหมามากๆ เพราะพ่อกับแม่แสดงออกถึงความรักกับน้องหมาให้ผมได้เห็นในวัยเด็กคือเรียกน้องหมาว่าลูกจนผมรู้สึกเค้าคือส่วนหนึ่งของบ้านจริงๆและที่สำคัญพ่อกับแม่ชอบเล่นและกอดมันด้วยความไม่รังเกียจแม้แต่น้อย สิ่งนี้เลยหล่อหลอมให้ผมรักน้องหมามาตั้งแต่เด็กเหมือนกับที่พ่อและแม่ท่านได้ทำเป็นตัวอย่าง จนผมได้มีโอกาสที่ได้เลี้ยงน้องหมาตัวในภาพครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าชื่อน้องทีม น้องทีมเป็นสุนัขพันธุ์ผสมเทอร์เรียร์ ได้มาจากการไปซื้อที่สวนจตุจักร ต้องบอกว่าในตอนแรกผมกลัวน้องทีมจะไม่รอดมากเพราะ มีพี่ๆหลายคนที่เคยเลี้ยงบอกว่าถ้าซื้อจากสวนมีโอกาสไม่รอดนะ แต่ในชั่วโมงนั้นที่ทำได้คือ มาถึงแล้วสิ่งที่ทำอันดับแรกในเลี้ยงคือ พาไปฉีดวัคซีนทุกอย่าง แบบที่น้องมาในวัย puppy ต้องฉีดทั้งหมดและแล้วน้องทีมก็รอดมาึถึงปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันเค้าไม่ได้อยู่กับผมแล้วไม่ต้องตกใจคือว่าผมไม่มีเวลาให้เค้าเท่าตอนที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย พอทำงานแล้วสิ่งหนึ่งที่ขาดไปให้กับน้องหมาคือเวลาที่จะให้น้องหมาน้อยลง จนผมต้องตัดสินใจพาน้องทีมไปให้แม่เลี้ยงที่ต่างจังหวัดที่บ้านพ่อแม่ครับ เป็นไปตามคาดครับว่าน้องทีมหน้าตาน่าีรักนิสัยขี้เล่นขนาดนี้พ่อกับแม่ซึ่งท่านเหงาเพราะลูกๆจริงอย่างผมกับพี่สาวไม่ได้อยู่กับท่าน พอท่านเห็นน้องทีมครั้งแรกคือท่านกอดเจ้าตูบนี้แน่นเลยครับ ต้องบอกว่าเราคิดไม่ผิดครับที่พาน้องทีมมาให้พ่อกับแม่เลี้ยงท่านรักน้องหมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าตูบตัวนี้ขี้เล่นขี้อ้อนอย่างน้องทีมแล้ว ปัจจุบันน้องทีมไปอยู่กับพ่อแม่ผมได้ 3 เดือนแล้ว ผมโทรไปหาท่านทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ทุกครั้งที่โทรแม่จะเล่าให้ผมฟังเรื่องน้องทีมตลอด ตอนนี้น้องทีมเป็นขวัญใจของคนที่บ้านผมและญาติๆไปแล้วครับ ผมก็รู้สึกดีใจนะที่ท่านรักน้องหมาที่ผมเอาไปให้ท่านเลี้ยงเหมือนที่ผมรัก ทุกวันนี้เดินทางไปไหนเห็นคนอื่นๆอุ้มน้องหมามาด้วยผมอดคิดถึงเจ้าตูบของผมไม่ได้ แต่บางครั้งอารมณ์ก็เศร้าครับเวลาเห็นน้องหมาที่ถูกทอดทิ้งตามข้่างถนน เห็นแล้วมันทำให้ผมคิดว่าคงไม่มีน้องหมาทุกตัวโชคดีมีเจ้าของที่ดี รักพวกมันมากๆเป็นแน่ ผมอยากบอกว่าการที่เราเลี้ยงน้องหมาแล้วต้องใส่ใจเหมือนเค้าคือส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ อย่าทอดทิ้งมันให้อยู่ลำพังตัวเดียวที่บ้านหรือที่ห้องแคบๆสี่เหลี่ยม เพราะน้องหมามีชีวิตจิตใจเหมือนเราเช่นกัน สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจจะเลี้ยงน้องหมาอยู่ คุณต้องถามตัวเองว่าคุณรักน้องหมาไหม คุณมีเวลาเพียงพอไหม และที่สำคัญคือคนสำคัญของคุณไม่ว่าจะเป็นคนรัก พ่อแม่ เค้า Love me love my dog ไหม ถ้าคุณคิดว่าตัวคุณมีองค์ประกอบ Love me love my dog พอ ผมสนับสนุนเต็มที่เลยครับ อย่าลืมน้องหมาทุกตัวคงอาจไม่โชคดีเหมือนน้องทีม ที่ตอนผมไม่มีเวลาให้เค้าแล้วผมมีสาวกคนรักน้องหมาอย่างพ่อกับแม่อยู่น้องทีมจึงโชคดี อย่าให้การตัดสินใจของคุณมันทำร้ายชีวิตที่บริสุทธ์อย่างน้องหมานะ อย่าเลี้ยงเพราะความเหงา จงเลี้ยงมันด้วยความรักครับ วันหลังผมจะมาเล่าถึงความน่ารักของเจ้าตูบของผมให้เพื่อนๆครับ

กล้อง 1 ตัว ตั๋ว 1 ใบ กับคนรู้ใจข้างสนามบอล

นับตั้งแต่ผมจบการศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร ผมมีโอกาสได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันหลายครั้ง ทำให้ผมมีโอกาสได้ซึมซับกับบรรยากาศระหว่างการเดินทางมากมาย ปกติแล้วเวลาผมเดินทางไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ผมมักจะติดกล้องคู่ใจไปกับตัวเองเสมอ คนส่วนใหญ่มักเดินทางแล้วพกกล้องเพื่อไปถ่ายรูปตัวเอง โพสท์ท่าทางกับสถานที่ไปเยี่ยมเยือน ซึ่งได้เห็นจนชินตา แต่สำหรับผมแล้วขอแค่ได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศระหว่างทางการเดินทางเป็นที่ระลึกก็เพียงพอแล้ว การเดินทางของผมนั้นจุดหมายปลายทางมีหลายรูปแบบทั้งแบบธรรมชาติ แบบสถานที่สวย ๆ ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะนำกล้องติดตัวไปเก็บบรรยากาศเสมอ  ถ้าจะพูดบรรยากาศผมประทับใจในการไปเที่ยวที่ต่างๆนั้น ต้องบอกว่าประทับใจทุกการเดินทางครับ แต่การเดินทางที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้นั้นคือ การเดินทางไปที่สนามฟุตบอลที่มีการแข่งขันฟุตบอลทั้งระดับชาติ และระดับการแข่งขันในประเทศ  ต้องขอบอกก่อนว่าคนเขียนเป็นผู้ที่มีความชื่นชอบการชมกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ แต่หาโอกาสมาดูที่สนามแข่งจริงนี้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะดูจากการถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอทีวี ในการเดินทางไปที่สนามกีฬานี้เช่นเคยคือต้องพกกล้องติดตัวไปเสมอ เมื่อมาถึงสนามสิ่งแรกที่ต้องทำคือเดินไปที่จุดจำหน่ายตั๋วของสนามพร้อมกับจัดไปตั๋วหนึ่งใบ ทำยังไงได้ก็มาคนเดียวคงต้องซื้อใบเดียวอยู่แล้ว  หลังจากนั้นผมก็ขอถ่ายรูปบรรยากาศข้างสนามและรอบๆตามเคย ภาพที่เห็นส่วนใหญ่คือภาพของคนรักต่างพากันมาดูฟุตบอลกันมากขึ้น เห็นแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และที่ทำให้ผมยิ้มไปกับภาพที่เห็นเลยคือภาพของพ่อแม่ลูกจูงมือมาซื้อตั๋วที่จุดจำหน่ายตั๋ว เห็นแล้วมันทำให้ผมนึกถึงภาพที่ได้เห็นในการถ่ายทอดสดฟุตบอลต่างประเทศ  ที่จะเห็นเด็กตัวเล็กๆมาดูฟุตบอลอยู่ข้างสนาม มาถึงตอนนี้คนอ่านคงสงสัยว่าหัวข้อบทความ กล้อง 1 ตัว ตั๋ว 1 ใบ กับคนรู้ใจข้างสนามบอล มันมีที่มาและเกี่ยวข้องกับประสบการณ์การเดินทางของผมอย่างไร ต้องขออธิบายว่าในตอนแรกๆ ที่ผมเริ่มเดินทางไปดูบอลที่สนามฟุตบอลนั้นผมเดินทางไปเพียงลำพังคนเดียว สิ่งที่พกติดตัวนำไปด้วยเสมอคือกล้องถ่ายรูปคู่ใจและมาถึงที่สนามได้สิ่งที่ต้องทำคือการเดินไปซื้อตั๋ว 1 ใบ  หลายคนที่อ่านคงมีัคำถามว่าแล้วคนรู้ใจข้างสนามบอลของผมไปไหน ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปจากนี้ คนรู้ใจข้างสนามบอลนี้ผมได้มาจากการที่เข้าไปนั่งชมเกมข้างสนามบอลสิ่งที่พบเห็นคือผู้คนมากมาย ต่างอายุต่างวัยชาย หญิงและเด็ก คนเหล่านี้ต่างมากับคนรู้ใจด้วยกันทั้งนั้น ทั้งแบบเพื่อนที่รู้ใจที่มากันเป็นกลุ่ม และแบบคู่รักที่มาเป็นคู่ หรือจะมากับครอบครัวที่รู้ใจ นี่แหละคือความหมายของคนรู้ใจข้างสนามบอลของผมคือการได้พบเจอผู้คนพาคนรู้ใจมาดูการแข่งขันฟุตบอลในสนาม มันทำให้ผมได้เห็นถึงมิตรภาพ ส่งผ่านจากรอยยิ้มของการพูดคุยกัน มันเป็นภาพที่น่าประทับใจครับ ยิ่งตอนเชียร์บอลขณะแข่ง ต้องขอเล่าว่าสุดยอดมากๆ ครับ คือกลุ่มแฟนบอลเหล่านี้ที่มาจากคนละที่คนละแห่ง  สามารถร้องเพลงเชียร์เพลงเดียวกันดังกระหึมสนาม แบบว่าผมอดขนลุกกับความสามัคคีและพลังของคนเหล่านี้ไม่ได้  เวลาผ่านไปสักพักผมก็สามารถร้องเพลงเชียร์ตามกลุ่มแฟนบอลได้ต้องบอกว่ามันได้อารมณ์ความสุข ความละมุนมากเลยครับ ขอยืมคำพูดของพี่คนหนึ่งมาเขียนนิดนึงครับ เวลาผ่านผมสังเกตุเห็นคือกลุ่มแฟนบอลเหล่านี้ มักจะพกกล้องติดตัวมากันด้วยเพื่อจะถ่ายภาพโพสท์ท่ากับแฟนบอลและสนามกันเป็นส่วนใหญ่ครับ ผมมองแล้วดูทุกคนมีความสุขที่ได้มาที่สนามบอลเหมือนๆกับผมนะ  ผมคิดว่าสนามบอลมันร้อนมากนะ แต่สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ยิ้มแย้มกันแบบลืมความร้อนไปปลิดทิ้งคือ พลังแห่งมิตรภาพที่ส่งผ่านออกมาทางใบหน้าและรอยยิ้มที่แสนจะจริงใจ สำหรับการที่จะเล่าความประทับใจในสนามบอลถ่ายทอดออกมาจนได้หมดนั้นคงจะทำได้ยาก แต่ตอนนี้มีสิ่งที่ผมบอกได้คือยังมีรอยยิ้มและมิตรภาพและความประทับใจที่น่าอัศจรรย์ใจรอคุณพิสูจน์ที่สนามฟุตบอลใกล้บ้านคุณ จงอย่าลืมพาเพื่อน พาคนรัก ครอบครัว และคนที่คุณคิดว่าเป็นคนที่รู้ใจคุณ มาที่สนามบอลสักครั้ง และผมเชื่อมั่นว่าคุณจะมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก